นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 ตุลาคม 2562 กระทรวงพาณิชย์จะจัดการประชุมวอร์รูม (War Room) สงครามการค้า เพื่อประเมินสถานการณ์สำคัญ 2 เรื่อง คือ ความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีน และประเด็นเรื่องเบร็กซิท (Brexit) ที่ใกล้จะถึงวันกำหนดที่อังกฤษต้องออกจากสหภาพยุโรป รวมทั้งต้องประเมินผลกระทบต่อไทยจากการที่สงครามการค้าเริ่มทำให้เศรษฐกิจโลกอ่อนแอลง ส่งผลให้อุปสงค์ของทุกประเทศลดลง “ขณะนี้ สถานการณ์ภายในของสหรัฐฯ มีความไม่ชัดเจนเกิดขึ้นจากการที่พรรคเดโมแครตจะยื่นถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งแม้ว่าอาจจะถอดถอนไม่ได้เพราะคะแนนเสียงไม่เพียงพอ แต่การเริ่มกระบวนการนี้ ก็จะสร้างความไม่มีเสถียรภาพในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของฝ่ายสหรัฐฯ ขณะนี้ จีนและสหรัฐฯ ยังมีการเจรจาอย่างเป็นทางการกันอยู่ แต่พัฒนาการที่ปรากฏล่าสุด เช่น การกล่าวปราศรัยของ ปธน. ทรัมป์ ที่สหประชาชาติ ก็ดูไม่เอื้อต่อการสร้างบรรยากาศที่ดีในการเจรจาเท่าใดนัก แต่ฝ่ายสหรัฐฯ ยังมีไพ่สำคัญเก็บไว้ 2 ใบ คือ การขึ้นภาษีชุดสุดท้ายที่ขณะนี้ชะลออยู่ (คือการขึ้นภาษีกลุ่ม 2.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ จากร้อยละ 25 เป็น 30 และการขึ้นภาษีกลุ่ม 3 แสนล้านฯ รอบที่ 2 อีก 554 รายการ) และการเก็บภาษีนำเข้า (safeguard) สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน ภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างการไต่สวน และจะประกาศผลในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งสองมาตรการนี้ จะส่งผลกระทบกับจีนมาก และประเทศอื่นก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย” ผอ.สนค. กล่าว
ผลจากการใช้มาตรการตอบโต้กันของสหรัฐฯ และจีน ก่อให้เกิดผลกระทบกับการค้าโลกมากกว่าที่คาดไว้ ทำให้ทั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) องค์การการค้าโลก (WTO) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ต่างก็ลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกลง โดย OECD ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง จากร้อยละ 3.6 เหลือร้อยละ 2.9 ในส่วนของการค้าโลก WTO ประมาณการว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ในปี 2562 ลดลงจากการขยายตัวร้อยละ 10 ในปีก่อนหน้า (จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเทียบกับปี 2017) ขณะที่ IMF ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง จากร้อยละ 3.5 เหลือร้อยละ 3.2
การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ กับจีน ไม่ได้ส่งผลกันเพียงระหว่างสองประเทศและในเอเชียเท่านั้น แต่แผ่กระจายไปถึงฝั่งยุโรปด้วย เห็นได้จากเศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 28 ของยูโรโซน และเป็นประเทศที่เน้นการส่งออกเช่นเดียวกับไทย เริ่มส่งสัญญาณไม่ดี ตัวเลขเศรษฐกิจทุกตัวลดลง การขยายตัวของจีดีพีในไตรมาส 2 หดตัวร้อยละ 0.1 เทียบกับไตรมาสแรกของปี ภาพรวมดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมและภาคบริการในประเทศหดตัวในรอบหลายเดือน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีใหม่จากสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ “ขณะนี้ นอกจากความขัดแย้งของสหรัฐฯ กับจีนแล้ว ยังเริ่มมีจุดเปราะบางในตะวันออกกลางที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน และปัญหา Brexit ที่ค่อนข้างจะยุ่งยากและยังไม่เห็นทางออก แม้ว่ากำหนดวันที่ 31 ตุลาคม จะใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่ง Brexit ที่อาจตกลงกันไม่ได้ (no deal Brexit) จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีที่ค้าขายลงทุนกับอังกฤษมากชะลอตัวลงไปอีก ซึ่งเยอรมนีเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจใหญ่ของยุโรป หากมีปัญหาจะทำให้ยุโรปเติบโตช้ากว่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลเยอรมันดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง มีหนี้ภาครัฐต่ำ ทำให้มีเครื่องมือและความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy space) ที่ยังใช้มาตรการต่างๆ กระตุ้นได้ในอนาคตหากจำเป็น” ผอ. สนค. กล่าว
ในส่วนของประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้การส่งออกลดลงร้อยละ 4 ในเดือนที่ผ่านมา และเศรษฐกิจภายในยังไม่ค่อยฟื้นตัวดีนัก ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับลดประมาณการเติบโตของ GDP นอกจากนี้ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีนโยบายไม่ขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเอื้อให้อัตราอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมาย จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวอาจจะทำให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้นอีก กระทบกับมูลค่าและรายได้จากการส่งออก ซึ่งทั้งหมดนี้ควรต้องมีการหารือร่วมกันโดยเร็วเพื่อหาจุดยืน และแนวทางที่ไทยควรดำเนินการต่อไป เพื่อรับมือความผันผวนทั้งหลาย
ทั้งนี้ การประชุม War Room ในวันที่ 7 ตุลาคม นั้น จะมีวาระการประชุมเพียง 2 เรื่อง คือ สงครามการค้าและ Brexit เท่านั้น และมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ซึ่งเมื่อประชุมเสร็จแล้ว จะนำเสนอแนวทางที่หารือกัน เสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณา ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน พาณิชย์ (กรอ. พณ.) ที่จะประชุมในช่วงต้นเดือนตุลาคม ศกนี้ต่อไป
……………………………….
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
8 สิงหาคม 2562