10.30 น. (เวลาในอินเดีย) 25 กันยายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดงานสัมนาและกิจกรรมการเจรจาการค้าสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างภาคเอกชนไทยและอินเดีย Siminar & Business Matching &Networking Between Thailand and India
นายจุรินทร์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนอินเดียในครั้งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นการเยือนอินเดียครั้งแรกหลังจากได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปัจจุบันประเทศต่างๆได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนไม่มากก็น้อยและยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ในเร็ววันนี้ แต่นับเป็นความโชคดีของอินเดียที่เศรษฐกิจของประเทศกลับไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลหลักน่าจะมาจากเศรษฐกิจอินเดียพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศด้วยจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 1,300 ล้านคน อินเดียจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของระบบโลกต่อไป สำหรับความร่วมมือระหว่างอาเซียนและอินเดียตนขอแจ้งให้ท่านทราบว่าในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับอีก 6 ประเทศ (RCEP )ในช่วงระหว่างวันที่ 5 ถึง 11 กันยายน ที่ผ่านมา เราได้มีข้อตกลงร่วมกันว่า ระดับความร่วมมือ FTA อาเซียนกับอินเดีย ให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าโลก สิ่งที่ทุกประเทศที่มาร่วมประชุมพร้อมกันในครั้งนั้นมีความเห็นร่วมกันว่าต้องการเห็น RCEP คือ อาเซียนกับหกประเทศ มีมูลค่าทางการค้าที่สูงขึ้น
นายจุรินทร์ กล่าวว่า การมาเยือนอินเดียของคณะผู้แทนทั้งภาครัฐและเอกชนของไทย โดยเฉพาะที่มุมไบซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจและประตูการค้าที่สำคัญที่สุดของอินเดียในวันนี้ จึงนับเป็นโอกาสครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของทั้งฝ่ายไทยและอินเดีย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าคณะเดินทางของไทยรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่ามีคณะผู้แทนการค้าและนักธุรกิจทั้งฝ่ายไทยและอินเดียจากหลากหลายสาขา อาทิ ยางพารา ไม้ยางพารา มันสำปะหลัง วัสดุก่อสร้าง และธุรกิจบริการโลจิสติกส์สนใจและตอบรับเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ซึ่งเห็นว่าจะเป็นโอกาสสำคัญของทั้งสองฝ่ายในการได้พบปะเจรจาการค้าและสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างกัน อันจะนำไปสู่การขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันหรือร่วมลงทุนดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีโอกาสเป็นประธาน ในการลงนามในกิจกรรมสำคัญหลายกิจกรรมอันได้แก่ (๑) การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมธุรกิจไม้ยางพาราของไทยและสมาคมผู้ผลิตและผู้ค้าเฟอร์นิเจอร์แห่งอินเดีย (๒) การสัมมนาพิเศษเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไม้ยางพาราของไทยที่จะมีต่ออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของอินเดีย (๓) การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง สภาธุรกิจไทย-อินเดียและบริษัท Global Linker ซึ่งเป็นวิสาหกิจเริ่มต้นหรือสตาร์ทอัพที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครือข่ายคลังสินค้าออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทยและอินเดีย (๔) การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสภาธุรกิจไทย-อินเดียและสมาคมอุตสาหกรรมแห่งบอมเบย์ (๕) การประกาศความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์และ Bigbasket ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดีย เพื่อสร้างร้านค้าออนไลน์ของสินค้าไทยบนแอพพลิเคชั่นของ Bigbasket และเว็บไซต์ bigbasket.com เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมสินค้าทั้งของไทยและอินเดีย ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้สินค้าไทย ทั้งจากผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกรได้มีโอกาสเชื่อมโยงกับตลาดโลกดังเช่นอินเดียได้ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้
และในประการสุดท้ายประการที่ ๖ ผมยังเห็นว่าเครือข่ายธุรกิจที่ทั้งสองฝ่ายได้สร้างขึ้นในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการติดต่อซื้อขายกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคต ไม่เฉพาะแต่เพียงสินค้า หากยังรวมถึงธุรกิจบริการต่างๆ ด้วย ซึ่งตลาดอินเดียกำลังขยายตัวพร้อมที่จะรองรับธุรกิจบริการต่างๆ ของไทยที่จะเข้ามาบุกเบิก ไม่ว่าจะเป็น (๑) บริการโลจิสติกส์ขนส่งสินค้า (๒) บริการจัดเก็บและกระจายสินค้าเกษตร รวมถึง (๓) บริการก่อสร้างและตกแต่ง ผมเชื่อมั่นว่าหากทั้งสองฝ่ายได้พันธมิตรทางธุรกิจที่ดี จะช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจร่วมกันได้อย่างราบรื่นประสบความสำเร็จในอนาคต
ในตอนท้าย นายจุรินทร์ กล่าวต่อทุกคนว่า ขอชื่นชมคณะผู้แทนการค้าเอกชนของไทยทุกท่านที่เดินทางร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในครั้งนี้เพื่อนำพาสินค้าและบริการของไทยมาเชื่อมโยงกับตลาดอินเดีย และที่สำคัญ ขอขอบคุณท่านผู้บริหารและผู้แทนจากสมาคมการค้าและบริษัทต่างๆ ของอินเดียที่ตอบรับคำเชิญของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบเข้าร่วมงานสัมมนาและเจรจาการค้าสร้างเครือข่ายธุรกิจในวันนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานสัมมนาและกิจกรรมเจรจาการค้าสร้างเครือข่ายธุรกิจที่กำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้านี้จะทำให้คณะนักธุรกิจอินเดียตระหนักว่าประเทศไทยมีสินค้าและบริการหลากหลายรายการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคอินเดีย หรือเป็นส่วนประกอบอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของอินเดียในการผลิตสินค้าแปรรูปและส่งออกไปยังตลาดโลกได้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า “ไทยและอินเดียคือหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่เกื้อหนุนกัน” นั่นเอง