บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องด้วยการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ในเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 69 เมกะวัตต์ นับเป็นการต่อยอดและขยายฐานการลงทุน ในพลังงานหมุนเวียนประเภทใหม่ของบริษัทฯ ไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่เหมาะสมกับโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท บีซีพีจี ไบโอเพาเวอร์ 2 จำกัด (BBP2) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่บริษัทฯ ถือหุ้นจำนวนร้อยละ 100 เข้าซื้อหุ้นจำนวนร้อยละ 100 ของ บริษัท Nam San 3A Power จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนจัดตั้งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ในเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 69 เมกะวัตต์
การลงทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A Power กำลังการผลิตติดตั้ง 69 เมกะวัตต์ โดยโครงการทั้งหมดจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (EDL) ภายใต้สัญญารับซื้อขายไฟฟ้า 27 ปี นับตั้งแต่วันเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อ 29 มกราคม 2559 บีซีพีจีจะใช้เงินลงทุนในครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 173 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 5,315 ล้านบาท โดย จะใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดภายในบริษัทฯ และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเริ่มรับรู้รายได้ทันทีหลังการเข้าลงทุน
“การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการต่อยอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบใหม่ ที่มีความน่าสนใจ และการขยายฐานธุรกิจโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ไปยังประเทศต่างๆ ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชีย ซึ่งการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จะช่วยทำให้รายได้ของบริษัทฯ มีเสถียรภาพมากขึ้น เป็นการสร้างสมดุลของความหลากหลายของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของบริษัทฯ ซึ่งส่งผลให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สม่ำเสมอขึ้นด้วย จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เพิ่มเติมจากธุรกิจโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในประเทศไทย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และอินโดนิเซีย”
“บริษัทฯ มั่นใจว่าการลงทุนครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และเพิ่มโอกาสในการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าโครงการอื่นที่มีศักยภาพในอนาคต นำมาซึ่งการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ อย่างแน่นอน” นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย