ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.70-33.83 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด และแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ กับแคนาดา อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์ยังพอมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ออกมาราว 7.74 ล้านตำแหน่ง เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าและสูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการทยอยอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินดอลลาร์แคนาดา (CAD) จากความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมของสหรัฐฯ ต่อสินค้านำเข้าจากแคนาดา

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) กดดันโดยความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมของสหรัฐฯ กับสินค้านำเข้าจากแคนาดา โดยเฉพาะเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะ Tesla +3.8% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อลง -0.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.76%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลง -1.70% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสที่จะเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าจากสินค้ายุโรปได้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรป ซึ่งได้ปรับตัวขึ้นโดดเด่นในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร อาทิ Rheinmetall +3.1% จากความหวังว่าหลายประเทศในกลุ่ม EU จะเดินหน้าเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ (จากก่อนหน้าที่เชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 50% ในการลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง) ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ของสหรัฐฯ และแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 4.27% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังพอมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง ทำให้ เราคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้ว่าเงินดอลลาร์จะเผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด (ทยอยลด Long USD) ทว่า ความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากแคนาดา และรายงานข้อมูลยอดตำแหน่งงานเปิดรับที่ออกมาดีกว่าคาดก็มีส่วนช่วยหนุนเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 103.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.2-103.7จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด และความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นได้บ้าง ทว่า จังหวะปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทำให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI อาจชะลอลงเล็กน้อยสู่ระดับ 2.9% (+0.3%m/m) ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็ชะลอลงเล็กน้อยสู่ระดับ 3.2% (+0.3%m/m) เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้เฟดยังคงระมัดระวังต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และจะยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ อนึ่ง บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปีหน้า (Fully Priced-In)

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังคงสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้ จบการลดดอกเบี้ยแถวระดับ 2.00%

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ในช่วงระหว่างวันก่อนที่ตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้ โดยเงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง ทว่า เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways นอกจากนี้ เราประเมินว่า บรรดาผู้นำเข้าก็อาจรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์อยู่ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท อีกทั้ง บรรดานักลงทุนต่างชาติก็อาจยังคงทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยได้บ้าง จนกว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยง ทำให้เงินบาทอาจพอมีโซนแนวรับแถว 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ โซนแนวต้านของเงินบาทก็อาจยังคงอยู่แถว 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เรามองว่า เงินบาทอาจกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following

เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาสะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงแกว่งตัวในกรอบ +0.27%/-0.45% ได้ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว ซึ่งจะเห็นได้ว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด จนอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เกิน 3 ครั้ง ในปีนี้

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.90 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ)