สทนช. จับมือ FAO เดินหน้าโครงการ ScaleWat ลงพื้นที่ศึกษารูปแบบการใช้และการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีธรรมาภิบาล นำร่อง “ลุ่มน้ำประแสร์ จ.ระยอง” รองรับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่อีอีซี สร้างศักยภาพการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อจัดสรรน้ำในทุกมิติอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
วันที่ 3 มีนาคม 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็น ภายใต้โครงการยกระดับขีดความสามารถในการกำกับดูแลรูปแบบการถือครองทรัพยากรน้ำ ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร ความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการมีส่วนร่วมทางสังคม (Scaling up capacities for responsible governance of water tenure in support of food security, climate resilience, and social inclusion) หรือโครงการ ScaleWat โดยมี นายกำธร เวหน รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง Ms. Sofia Espinosa ผู้แทนจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ คณะกรรมการลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ใช้น้ำภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม เกษตรกรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ คณะทำงานและคณะอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ รวมจำนวนมากกว่า 80 คน เข้าร่วมการประชุมที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 4 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมโกลเด้น ซิตี้ ระยอง และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาประแสร์ จังหวัดระยอง
เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO คาดการณ์ว่า หลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย อาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และการท่องเที่ยว ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการบริการจัดการทรัพยากรน้ำ FAO จึงได้จัดโครงการ ScaleWat ขึ้นโดยใช้แนวคิด Water Tenure หรือ รูปแบบการถือครองทรัพยากรน้ำ เพื่อช่วยวิเคราะห์กิจกรรมการใช้น้ำในทุกมิติ ทั้งกิจกรรมที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการและกิจกรรมที่อาจถูกมองข้าม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรน้ำให้สมดุลและยั่งยืน มีส่วนร่วมของผู้ใช้น้ำทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ FAO ได้คัดเลือกพื้นที่นำร่อง 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศโคลอมเบียในภูมิภาคลาตินอเมริกา และประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยประเทศไทยและ FAO ได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมืออย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 โดยเลือก “ลุ่มน้ำประแสร์” เป็นพื้นที่ศึกษานำร่อง เนื่องจากมีแหล่งกักเก็บน้ำที่จำกัด ทำให้การบริหารจัดการน้ำไม่สมดุลกับปริมาณการใช้น้ำของภาคส่วนต่างๆ อีกทั้งเป็นลุ่มน้ำสำคัญทางเศรษฐกิจที่ต้องรองรับปริมาณความต้องการใช้น้ำของจังหวัดระยองและในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งคาดว่าความต้องการใช้น้ำจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงอาจจะยังมีกิจกรรมการใช้น้ำอื่นๆ ที่อาจถูกมองข้ามในการจัดสรรน้ำในปัจจุบัน คาดว่าการศึกษาจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2569
“โครงการ ScaleWat จึงเป็นโครงการศึกษาเพื่อให้ได้เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยระบุช่องว่างและโอกาสในการปรับปรุงการจัดสรรทรัพยากรน้ำ โดยอาศัยหลักการทางวิชาการของ FAO ผสานกับข้อมูลเชิงพื้นที่ของลุ่มน้ำประแสร์ ดังนั้น การประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกในการร่วมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ข้อเสนอแนะต่อโครงการฯ และร่วมกันพัฒนาแบบสัมภาษณ์ที่จะนำไปใช้เก็บข้อมูลในพื้นที่ให้มีความครอบคลุมการใช้น้ำทุกภาคส่วนและแม่นยำมากที่สุด ซึ่งข้อมูล ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ทั้งด้านวิชาการที่ผสานกับความรู้ความเข้าใจเชิงพื้นที่ สามารถสร้างแนวทางใหม่ในการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ธรรมาภิบาลและการพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกัน อีกทั้งจะเป็นรากฐานสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการจัดสรรน้ำในอนาคต เพื่อให้การพัฒนาการบริหารจัดการน้ำของลุ่มน้ำประแสร์สอดคล้องกับความเป็นจริง ครอบคลุมทุกกิจกรรมการใช้น้ำและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เกิดการต่อยอดขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมทั้งการกำหนดมาตรการเพื่อให้เกิดการจัดสรรน้ำอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน อันนำไปสู่การสนับสนุนให้เกิดนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศและความร่วมมือด้านน้ำระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย