กรมการแพทย์แผนไทยฯ จับมือ 2 องค์กรด้านการวิจัยระดับประเทศ ขับเคลื่อนงานวิจัยสมุนไพรไทยการแพทย์แผนไทย สู่มาตรฐานสากล

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ลงนามความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยและ พัฒนาสมุนไพรไทยและการแพทย์แผนไทยให้ได้มาตรฐานระดับสากล เน้นการพัฒนาแนวทางวิจัยทางคลินิก (Clinical Research) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมงานวิจัยในระดับนานาชาติ การวิจัยเชิงระบบและการวิจัย R2R (Routine to Research) ชู ยุทธศาสตร์ “3 สร้าง” ปูทางสู่การขยายมูลค่าตลาดเศรษฐกิจสมุนไพร 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2570 เพื่อให้การพัฒนาสมุนไพรไทย การแพทย์แผนไทย ให้ก้าวไกลระดับโลก

นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าว่า กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทยและการแพทย์แผนไทยให้ได้มาตรฐานระดับสากล โดยเน้นการพัฒนาแนวทางวิจัยทางคลินิก (Clinical Research) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมงานวิจัยในระดับนานาชาติ การวิจัยเชิงระบบและการวิจัย R2R (Routine to Research) ระหว่าง 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดยมี ผู้บริหารของทั้ง 2 หน่วยงานร่วมลงนาม ประกอบด้วย นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม(สกสว.) และ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในด้านต่างๆ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานวิจัยให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประเทศในอนาคต

ความร่วมมือครั้งนี้ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “3 สร้าง” ของกรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้แก่ 1.สร้างความร่วมมือ กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการพัฒนางานวิจัยสมุนไพรไทย 2.สร้างความเชื่อมั่น ด้วยการพัฒนามาตรฐานงานวิจัยให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล 3. สร้างมาตรฐานและยกระดับ เพื่อให้สมุนไพรไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลก และเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพที่มีคุณภาพ “ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาสมุนไพรไทย ให้ก้าวไกลระดับโลก ด้วยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการแพทย์ แผนไทย แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ปูทางสู่การขยายมูลค่าตลาดเศรษฐกิจสมุนไพร 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2570 อันจะนำไปสู่ระบบสุขภาพที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต“

ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) กับ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการวิจัยและ พัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการใช้ประโยชน์ในระบบสุขภาพ โดยคาดว่าจะเพิ่มงบประมาณ สำหรับยาสมุนไพร 1,000 ล้านบาท พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างกองทุนวิจัยและกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ทั้งนี้ มีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพรและการแพทย์สุขภาพในเอเชีย และส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาด้วยสมุนไพรที่มีคุณภาพและปลอดภัย

นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า ความร่วมมือนี้ จะเสริมศักยภาพการวิจัยและนวัตกรรมด้านสมุนไพรไทยและการแพทย์แผนไทย เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยเน้นการวิจัยทางคลินิกและพัฒนาเทคโนโลยีที่นำไปใช้ได้จริง รวมถึงสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้มาตรฐาน สวรส. พร้อมสนับสนุนกรอบการวิจัยและแนวทางที่ชัดเจน โดยจะตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรและการแพทย์แผนไทยให้ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและสากล เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและระบบสุขภาพของประเทศ

ด้านนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกดำเนินการจัดทำ “Guideline for Herbal Medicine Research” เพื่อพัฒนากรอบการวิจัยทางคลินิกสำหรับสมุนไพรไทยและการแพทย์แผนไทย โดยร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อสร้างมาตรฐานการวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ยังสนับสนุนการวิจัยและทดลองทางคลินิกเพื่อยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยของสมุนไพรไทย พร้อมพัฒนามาตรฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้ สถาบันฯ ยังมุ่งส่งเสริมองค์ความรู้ ด้านการแพทย์แผนไทยให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพคุณภาพสูง เพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาที่มีมาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นในการใช้สมุนไพร และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาด้วยแนวทางสุขภาพแบบองค์รวม