สถานการณ์การท่องเที่ยวระหว่างวันที่ 17 – 23 กุมภาพันธ์ 2568

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยผลการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวเบื้องต้น พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 23 ก.พ. 68 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสะสมแล้วกว่า 6 ล้านคน สำหรับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชะลอตัวด้านการเดินทางในทุกกลุ่มตลาด โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) อาทิ มาเลเซียชะลอตัวด้านการเดินทางเนื่องจากเป็นช่วงก่อนเข้าสู่เทศกาลถือศีลอดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ อีกทั้งนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวด้านการเดินทางจากการเป็นช่วงปลายของฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์นี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 763,353 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 20,822 คน หรือร้อยละ 2.66 คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 109,050 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย (94,656 คน) จีน (72,111 คน) รัสเซีย (58,201 คน) อินเดีย (50,115 คน) และเกาหลีใต้ (42,078 คน) โดยนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า ร้อยละ 17.54 ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีน รัสเซีย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ มีการปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 20.52 ร้อยละ 3.27 ร้อยละ 2.45 และร้อยละ 1.89 ตามลำดับ

สําหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การประกาศปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกีฬา การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีน การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ที่ช่วยเพิ่มการอํานวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตรตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจํานวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น

สําหรับภาพรวมการท่องเที่ยวในสัปดาห์นี้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 24 ก.พ. 68 พบว่า ประเทศไทย มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 23 ก.พ. 68 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 6,352,404 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 310,415 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน (988,451 คน) มาเลเซีย (809,317 คน) รัสเซีย (448,995 คน) เกาหลีใต้ (348,537 คน) และอินเดีย (325,580 คน)