กรมพินิจฯ จับมือ กรมอนามัย และ สปสช. ร่วมสร้างโอกาสด้านทันตกรรมให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานที่ควบคุม

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.00 น. นางปรีดา วิสาโรจน์ รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ฝ่ายพัฒนา พร้อมด้วย ดร.นายแพทย์ปองพล วรปาณิ รองอธิบดีกรมอนามัย และทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วม “กิจกรรมแถลงความร่วมมือ (Kick off) การขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากเด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน” ตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยมี ทันตแพทย์ดำรง ธำรงเลาหะพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวรายงาน และมีนายแพทย์ประภาส ผูกดวง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวต้อนรับ โดยผู้แทนจากภาคีเครือข่าย และโรงพยาบาลแม่ข่าย อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบลบางปลา และรพ.บางพลี เข้าร่วมกิจกรรม ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ

โดย นางปรีดา วิสาโรจน์ รองอธิบดีกรมพินิจฯ ฝ่ายพัฒนา ได้กล่าวถึงความร่วมมือ และการสนับสนุนกิจกรรมนี้ ความตอนหนึ่งว่า “กรมพินิจฯ กระทรวงยุติธรรม มีภารกิจหลัก ๆ 3 ประเด็น คือ การดำเนินงานในคดีแพ่ง-คดีครอบครัว การดำเนินงานในคดีอาญา และการดำเนินงานเพื่อป้องกันการกระทำผิด และการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชน ซึ่งการสร้างโอกาสในด้านทันตกรรมให้เด็กและเยาวชนในความดูแลของกรมพินิจฯ นี้ ทำให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงโอกาสด้านทันตกรรมได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เท่าเทียมกับประชาชนภายนอก สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนที่เด็กและเยาวชนพึงจะได้รับ ส่งผลให้เด็กและเยาวชนสามารถดูแลสุขภาพช่องปากได้ด้วยตนเอง เมื่อเยาวชนมีสุขภาพช่องปากที่ดี ย่อมจะนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 นี้ กรมพินิจฯ ได้ร่วมมือกับกรมอนามัย สปสช. โรงพยาบาลแม่ข่าย และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากให้ครอบคลุมเด็กและเยาวชนทั้งในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ทั้ง 58 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นไปตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่มุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาพที่ดีทั้งกาย และใจ”

ด้าน ดร.นายแพทย์ ปองพล วรปาณิ รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “กรมอนามัย เล็งเห็นถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมด้วยตนเองของเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ หรือศูนย์ฝึกและอบรมฯ โดยพบว่าเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ จำนวน 4,001 คน หรือประมาณร้อยละ 26 เจ็บป่วยจากโรคฟันผุ ส่งผลให้กรมอามัยต้องจับมือกับกรมพินิจฯ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพช่องปากให้เด็กและเยาวชน โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าร้อยละ 80 ของเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ต้องเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมตามความจำเป็น นอกจากนี้กรมอนามัยและภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันพัฒนาโมเดลทันตกรรมรัฐ-เอกชน ร่วมดูแลสุขภาพช่องปาก เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมตามสิทธิประโยชน์อย่างเป็นระบบ โดยมีระบบสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้เด็กและเยาวชนในกลุ่มดังกล่าว สามารถดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง (Self-Care) และเพิ่มการเข้าถึงบริการทันตกรรม (Access to care) ได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”

ด้าน ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า “สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้กำหนดสิทธิประโยชน์การให้บริการทันตกรรม และสิทธิประโยชน์ด้านบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับผู้ต้องขังในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ รวมทั้งคลินิกทันตกรรมที่ร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถให้บริการทันตกรรมผู้ต้องขังบัตรทอง 6 รายการ ได้แก่ ตรวจสุขภาพช่องปากและวางแผนการรักษา ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน และเคลือบฟลูออไรด์ และการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ โดยทีมรถทันตกรรมและโรงพยาบาลแม่ข่ายในครั้งนี้ อยู่ภายใต้โครงการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท ในการให้บริการกับสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ”

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้นโดยสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดย ทันตแพทย์ดำรง ธำรงเลาหะพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า “กิจกรรมในครั้งนี้กรมอนามัยและเครือข่ายทันตบุคลากรในจังหวัดสมุทรปราการ ได้ร่วมกันจัดบริการทันตกรรม ร่วมกับรถทันตกรรมของคลินิกเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ที่เป็นกลุ่มเปราะบาง จำนวน 150 คน จากศฝ.ชายบ้านกรุณา, ศฝ.สมุทรปราการ และสพ.จ.สมุทรปราการ ประกอบด้วย 1. กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากโดยโรงพยาบาลแม่ข่าย ได้แก่ การตรวจสุขภาพช่องปากและวางแผนการรักษาตามความจำเป็น การฝึกทักษะการแปรงฟันร่วมกับการย้อมสีฟันก่อนเข้ารับบริการทันตกรรม และ 2. รถทันตกรรมจากคลินิกเอกชนจัดบริการทันตกรรมตามแผนการรักษาของโรงพยาบาลแม่ข่าย พร้อมสรุปข้อมูลทันตกรรมส่งสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ภายใน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้บริการทันตกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ โดยโมเดลทันตกรรมรัฐ-เอกชน ร่วมดูแลสุขภาพช่องปาก 3S2R Model (Screening, Service, Self-care, Record data, Recall) ที่พัฒนาขึ้นมา และจะมีการนำไปขยายผล วางแผนการจัดบริการทันตกรรม ทุก 6 เดือน ในสถานพินิจฯ และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ทั้ง 58 แห่งทั่วประเทศต่อไป”