นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.53 จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน รวมถึงการมีมาตรการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และมาตรการด้านวีซ่าของรัฐบาล โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่ขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 5 จากเดิมในอันดับที่ 6 อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 79.67 จากสัปดาห์ก่อนหน้า ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวด้านการเดินทาง จากการเข้าสู่ช่วงท้ายของฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์นี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 946,958 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 66,348 คน หรือร้อยละ 7.53 คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 135,280 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน (177,834 คน) มาเลเซีย (170,797 คน) รัสเซีย (55,359 คน) เกาหลีใต้ (45,902 คน) และไต้หวัน (33,878 คน) โดยนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย และรัสเซีย มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า ร้อยละ 79.67 และร้อยละ 2.86 ตามลำดับ ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน มีการปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 16.25 ร้อยละ 10.47 และร้อยละ 0.52 ตามลำดับ
สําหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีน การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ที่ช่วยเพิ่มการอํานวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจํานวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น
สําหรับภาพรวมการท่องเที่ยวในสัปดาห์นี้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.พ. 68 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 2 ก.พ. 68 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 3,967,469 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 195,090 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน (710,687 คน) มาเลเซีย (482,719 คน) รัสเซีย (274,680 คน) เกาหลีใต้ (221,993 คน) และอินเดีย (195,422 คน)