ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 33.71 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.55-33.75 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น จากคำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) ที่พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 แม้ว่า เงินยูโรจะสามารถแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) 25bps สู่ระดับ 2.75% ตามคาดก็ตาม อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังไม่สามารถกดดันเงินบาทได้มากนัก เนื่องจากราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้ (New All-Time High) ท่ามกลางความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยรับมือความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ทยอยรายงานผลประกอบการที่สดใส อาทิ Meta +1.6% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของ Microsoft -6.2% ที่ออกมาน่าผิดหวัง ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.53%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.86% ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ยตามคาด และมีแนวโน้มที่จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมได้ในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ ASML +3.6%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.53% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมามีความกังวลต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 นอกจากนี้ บรรยากาศของตลาดการเงินที่ผู้เล่นในตลาดทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็ช่วยจำกัดการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้างในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งออกมาแย่กว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มรัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาคา ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 108.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107.5-108.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะเผชิญแรงกดดันบ้าง จากการทยอยปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่า ความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ก็พอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์แถว 2,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้สำเร็จ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิดในการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE อาจปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 2.6% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE อาจทรงตัวแถวระดับ 2.8% สอดคล้องกับมุมมองของเฟดล่าสุดที่ยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทำให้เฟดตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรอติดตามท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้ากับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์บ้าง ทว่าเงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทำให้เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.10-34.20 บาทต่อดอลลาร์

อย่างไรก็ดี เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility โดยเงินบาทเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ หากผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งอาจกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงได้ ทว่าในกรณีดังกล่าว หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้าง ก็อาจพอช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการปรับตัวลดลงของราคาทองคำได้บ้าง ทำให้เรามองว่า ในช่วงนี้ อาจต้องติดตามทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้

นอกจากนี้ เรามองว่า ควรจับตาแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์ รวมถึงบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่ สหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีน

ทั้งนี้ เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ชี้ว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวนโดยเฉลี่ย +0.10%/-0.23% (เงินบาทมักจะแข็งค่าขึ้นมากกว่าอ่อนค่า) ได้ในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว 30 นาที

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ)