วันที่ 27 มกราคม 2568 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (กอวช.) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงฯ (สป.อว.) โดยที่ประชุมได้หารือกันถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย
โดย ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า สอวช. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตของประเทศไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ส่งผลให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งการผลักดันเรื่องนี้ยังสอดรับกับนโยบาย อว. For EV ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ด้วย
ดร.ธนาคาร วงษ์ดีไทย นักยุทธศาสตร์ 1 โครงการพิเศษนโยบายเทคโนโลยียานยนต์และการขนส่งแห่งอนาคต ได้นำเสนอต่อที่ประชุมว่า สอวช. ได้ทำการศึกษาข้อมูลความต้องการแบตเตอรี่ของโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2030 จะมีความต้องการแบตเตอรี่รวมกันมากถึง 4,917 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (GWh) ต่อปี คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 49.17 ล้านล้าน บาท หรือ 275% ของ GDP ไทยในปี 2023 โดยความต้องการแบ่งออกเป็น EV จำนวน 3,388 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี และ Non-EV จำนวน 1,529 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี ส่วนความต้องการแบตเตอรี่ของไทยนั้น มีการคาดการณ์ว่า หากสัดส่วนความต้องการแบตเตอรี่ของไทย สอดคล้องกับความต้องการแบตเตอรี่ของโลกในปี 2030 ประเทศไทยจะมีความต้องการแบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 30 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี และสำหรับอุตสาหกรรมอื่นจำนวน 13.5 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี คิดเป็นมูลค่ารวมกัน ประมาณ 4.35 แสนล้านบาทต่อปี หรือเทียบเป็น 2.43% ของ GDP ไทย
ดร.ธนาคาร ยังได้นำเสนอถึงปัญหาอุปสรรคสำคัญของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย เมื่อเทียบกับนโยบายและมาตรการ ส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในต่างประเทศ ที่มีการออกมาตรการสนับสนุนอย่างจริงจัง ทั้งในด้านอุปทาน (supply) และอุปสงค์ (demand) ไปควบคู่กัน นอกจากนี้ยังมีการให้ทุนวิจัยด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่โครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง 3–5 ปี ซึ่งหากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนคาดว่า ภายในปีนี้ผู้ผลิตรายใหญ่อย่างน้อย 2 ราย จะมีความชัดเจนในการเข้ามาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในไทย โดยแต่ละรายจะมีขนาดกำลังการผลิตในเฟสแรกประมาณ 6-10 กิกะวัตต์-ชั่วโมง มูลค่าเงินลงทุนเฟสแรกรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท
ในทางกลับกัน หากไม่ได้รับการสนับสนุนก็จะส่งผลกระทบ 4 ด้าน ได้แก่ 1. สูญเสียเม็ดเงินในเศรษฐกิจ 135,000 – 435,000 ล้านบาทต่อปี 2. สูญเสียการลงทุนในประเทศ 30,000 – 132,000 ล้านบาท จากการตั้งโรงงานในประเทศ 3. สูญเสียโอกาสในการจ้างงาน อย่างน้อย 1,000 อัตรา ซึ่งจะกระทบถึง 500-1,000 ครัวเรือน และ 4. สูญเสียโอกาสในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโอกาสในการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รวมค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ จากการไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ อย่างน้อย 560,000 ล้านบาท (3.1% GDP ไทย) และเสียโอกาสทางตรงต่อเนื่อง อย่างน้อยปีละ 140,000 ล้านบาท (0.8% GDP ไทย)
ดร.ธนาคาร ได้นำเสนอร่างข้อเสนอการกำหนดเป้าหมายของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย โดยขอให้ประเทศไทยตั้งเป้าหมายสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ขั้นต่ำสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใน 2 กลุ่ม คือ 1. ประเทศไทยผลิตแบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 30 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปีในปี 2030 และ 2. ประเทศไทยผลิตแบตเตอรี่สำหรับ อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ยานยนต์ไฟฟ้า 13.5 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปีในปี 2030 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้นำเสนอมาตรการเร่งด่วนสำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย โดยขอให้ใช้มาตรการเจรจาดึงดูดการลงทุน ข้อเสนอมาตรการเร่งด่วน สำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย ตลอดจนมาตรการในช่วงการเจรจาดึงดูดการลงทุน โดยขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ตั้งเงื่อนไขการตั้งโรงงานเซลล์แบตเตอรี่ในไทย ดังนี้ 1. ให้พนักงานทั้งหมดรวมถึงสัญญาจ้างและรับจ้างช่วง ควรต้องมีสัญชาติไทย อย่างน้อย 90% ของพนักงานทั้งหมด 2. มีการทำการวิจัยและพัฒนา (R&D) แบตเตอรี่ในประเทศ หรือควรต้องตั้งศูนย์ R&D แบตเตอรี่ในประเทศไทย โดยวิศวกรและนักวิจัยในศูนย์ดังกล่าวอย่างน้อย 70% ควรต้องมีสัญชาติไทย 3. ชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ ต้องผลิตในประเทศไทยอย่างน้อย 1 ชิ้น 4. สนับสนุนการจับคู่ธุรกิจให้เกิดการสร้างห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในประเทศ 5. สร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาบุคลกรร่วมกันระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชน สนับสนุนให้เกิดการเรียนและฝึกงานทำงานในภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ 6. กรณีที่ลงทุนเครื่องจักรเพื่อการผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงาน (เช่น อุตสาหกรรม โดรน อุตสาหกรรมโทรคมนาคม เป็นต้น) จะได้รับการสนับสนุนการลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม 7. กรณีที่จัดตั้งโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ในจังหวัดรอง จะได้รับการสนับสนุนการลงทุนเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอมาตรการ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยระยะสั้น ขอให้กระทรวง อว. พิจารณาจัดสรรทุนวิจัยขนาดใหญ่ในลักษณะ Multi-year รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรใหม่ และการพัฒนาบุคลากร รีสกิล อัพสกิล วิศวกรและนักวิจัยที่มีอยู่ และนักศึกษาสาย STEM ชั้นปีที่ 3 – 4 ให้สามารถทำงานในโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ได้ สนับสนุนการดึงบุคลากรไทยที่ทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง กลับมาทำงานให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของไทย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณายกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้า รวมถึงพิจารณายกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับแบตเตอรี่เซลล์เพื่อวิจัยพัฒนา และขอให้พิจารณาจัดตั้ง หรือ สนับสนุนให้มีการประชุมของคณะกรรมการหรืออนุกรรมการระดับชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ที่ใช้ได้กับหลายอุตสาหกรรม
สำหรับมาตรการระยะกลาง ควรมีการจัดสรรทุนวิจัย Multi-year และงบพัฒนาบุคลากรสำหรับการวิจัยการรีไซเคิลแบตเตอรี่ และการผลิตวัตถุดิบจากวัสดุรีไซเคิล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดสรรเงินอุดหนุนแบตเตอรี่ความจุสูง ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ จัดมาตรการลดหย่อนภาษีบุคคล นิติบุคคล พิจารณาปรับขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าแบตเตอรี่ความจุสูงจากต่างประเทศเพื่อสร้างอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง และพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับแบตเตอรี่ความจุสูง
ส่วนมาตรการระยะยาว เน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยตลอดห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยสามารถผลิตแบตเตอรี่ใช้เองมากขึ้น ในกรณีที่หากไม่สามารถนำเข้าแบตเตอรี่จากต่างประเทศได้ รวมถึงการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ตลอดจนขยายศักยภาพในการออกแบบแบตเตอรี่แพ็ค และการทดสอบแบตเตอรี่ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือกันในเรื่องดังกล่าว โดยในภาพรวมเห็นด้วยกับข้อเสนอของ สอวช. ขณะเดียวกันได้ขอให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้สอดรับกับมาตรการที่ได้นำเสนอ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการ