กรมวิชาการเกษตร เล็งเปิดตลาดกากน้ำมันและกากรำข้าวไปจีน ส่งเอกสารขอหลักเกณฑ์เงื่อนไขการนำเข้า พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญจีนตรวจประเมิน 7 โรงงานที่มีความพร้อมส่งออกของไทย คาดผ่านฉลุยลุยส่งออกวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มาจากพืชเป็นครั้งแรกของไทย
นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตรได้มีหนังสือถึงสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณประชาชนจีนแจ้งความประสงค์ขอเปิดตลาดกากปาล์มน้ำมันและกากรำข้าวที่สกัดน้ำมันแล้วไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารสัตว์ พร้อมส่งเอกสารประกอบการขอเปิดตลาด โดยกรมวิชาการเกษตรในฐานะองค์กรอารักขาพืชแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่จัดเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอเปิดตลาดสินค้าเกษตรไปยังประเทศปลายทางขอทราบข้อกำหนดการนำเข้าและข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้เตรียมข้อมูลประกอบการเปิดตลาดสินค้าดังกล่าวให้เป็นไปตามข้อกำหนดของจีน
ทั้งนี้ จีนได้แจ้งให้ทราบว่าการส่งออกวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มาจากพืชที่จะส่งออกมาจีนเป็นครั้งแรกต้องดำเนินการในกระบวนการประเมินความเสี่ยง กระบวนการตรวจสอบ และกระบวนการอนุญาตการนำเข้า ให้แล้วเสร็จเสียก่อน และหลังการยืนยันข้อกำหนดด้านการตรวจสอบกักกันการนำเข้าและพิธีสารแล้ว จึงจะสามารถอนุญาตการนำเข้าได้
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามทั้งฝ่ายไทยและจีนมีความเห็นตรงกันที่จะผลักดันกระบวนการขอเปิดตลาดและส่งออกกากปาล์มน้ำมันและกากรำข้าวให้เร็วขึ้น เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ในประเทศจีนได้เติบโตอย่างรวดเร็ว กรมวิชาการเกษตรจึงได้ทำหนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญจากกองควบคุมการกักกันพืชและสัตว์ของจีนเดินทางมาตรวจประเมินโรงงานผลิตกากปาล์มน้ำมันและกากรำข้าวที่ประเทศไทยพร้อมกับยกร่างพิธีสารว่าด้วยการส่งออกสินค้าทั้ง 2 ชนิดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 9 – 13 กันยายน 2562 นี้
กรมวิชาการเกษตรได้แจ้งจำนวนโรงงานผลิตกากปาล์มน้ำมันและกากรำข้าวของไทยที่มีความพร้อมให้จีนตรวจประเมินและให้การรับรองเพื่อผลิตสินค้าดังกล่าวส่งออกไปยังจีนจำนวนทั้งหมด 7 โรงงาน โดยเจ้าหน้าที่จีนแจ้งความประสงค์ที่จะตรวจประเมินเพียง 4 โรงงานเท่านั้น โดยจะถือทั้ง 4 โรงงานเป็นตัวแทนการตรวจประเมินโรงงานทั้งหมด หากทั้ง 4 โรงงานผ่านการตรวจประเมินและได้รับการรับรองทั้ง 7 โรงงานก็จะสามารถผลิตสินค้าส่งออกไปจีนได้ทั้งหมด
………………………………
ที่มา กรมวิชาการเกษตร / วันที่ 10 กันยายน 2562