วันที่ 30 กันยายน 2567 นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ ณ วันที่ 30 ก.ย. 67 ว่า เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นและมีฝนตกหนักกับมีลมกระโชกแรงบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดย สทนช. และหน่วยงานต่าง ๆ ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประเมินสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำต่าง ๆ รวมถึงปริมาณน้ำในเขื่อนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของกลุ่มลุ่มน้ำที่สัมพันธ์กัน สำหรับสถานการณ์ในลุ่มน้ำต่างๆ มีดังนี้ ลุ่มน้ำปิง วันนี้เขื่อนภูมิพลได้ลดการระบายน้ำเหลือเพียงวันละ 1 ล้าน ลบ.ม.หรือคิดเป็น 1% เท่านั้น ส่งผลให้แม่น้ำปิงที่สถานี P.17 มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 678 ลบ.ม.ต่อวินาที หรือเพียง 23% ของความจุเท่านั้น ที่ลุ่มน้ำวัง มีเขื่อนสำคัญ ได้แก่ เขื่อนกิ่วคอหมา ปริมาณน้ำอยู่ที่ 167 ล้าน ลบม. คิดเป็น 98% และเขื่อนกิ่วลมปริมาณน้ำอยู่ที่ 68 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 64% จึงยังคงมีการระบายเพื่อพร่องน้ำออกอย่างต่อเนื่องแต่อยู่ในจุดที่พื้นที่ท้ายเขื่อนยังรองรับได้ ปริมาณน้ำในแม่น้ำวังอยู่ที่ 88% และจะลดลงตามลำดับ ที่ลุ่มน้ำยม ตามที่ได้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ จ.แพร่ และสุโขทัย ซึ่งเกิดจากปริมาณน้ำล้นตลิ่งนั้น ขณะนี้สถานการณ์ลดความรุนแรงลงตามลำดับแล้ว โดยปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำยมที่สถานี Y.14 A อยู่ที่ 497 ลบ.ม./วินาที คิดเป็น 25% สำหรับสถานการณ์ลุ่มน้ำน่าน ปริมาณน้ำในเขื่อนสิริกิติ์อยู่ที่ 8,626 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 91% ขณะนี้มีการระบายน้ำอยู่ที่วันละ 15 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งวันนี้จะปรับลดการระบายเหลือ 10 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ปริมาณน้ำในทุ่งบางระกำสามารถไหลลงสู่แม่น้ำน่านได้ ส่งผลให้สถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ลุ่มน้ำยมดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการเปิดรับน้ำเข้าบึงบอระเพ็ดเพื่อกักเก็บไว้ใช้ในฤดูแล้งต่อไปด้วย
สำหรับสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา วันนี้ปริมาณน้ำที่สถานี c 2 จ.นครสวรรค์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในช่วง 3 วันข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2,100 ลบ.ม./วินาที ที่เขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำ 1,899 ลบ.ม./วินาที แนวโน้มทรงตัว และคงอัตราการระบายน้ำไม่เกิน 1,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้มีการปรับลดการระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันตกโดยเฉพาะแม่น้ำท่าจีน เพื่อช่วยลดผลกระทบในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี และนครปฐมที่คาดว่าจะเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ในช่วงต่อไปได้ สำหรับฝั่งตะวันออกได้มีการเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เนื่องจากขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ที่ 614 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 64% นั้น เพียงพอแล้วจึงต้องเตรียมพื้นที่ไว้รองรับเผื่อกรณีเกิดพายุหรือร่องมรสุมในช่วงต่อไปด้วย นอกจากนี้ ในภาพรวมปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวม 18,110 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 73% ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ในฤดูแล้งแล้ว
“ในช่วงนี้ เรายังต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล บริเวณชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) ซึ่ง สทนช. ได้มีประกาศแจ้งเตือนออกไปแล้ว และเชื่อว่าหากในปีนี้ไม่เกิดพายุเข้าพื้นที่ประเทศไทยอีกตามที่ได้คาดการณ์ไว้การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการเป็นกลุ่มลุ่มน้ำเช่นนี้ จะส่งผลให้ลุ่มน้ำเจ้าพระยาปลอดภัย ขณะเดียวกันจะมีน้ำเพียงพอสำหรับใช้ในฤดูแล้งปีหน้าอย่างแน่นอน” รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย