สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์กล่าว โรคผื่นแพ้แมลงกัดเป็นโรคที่คนทั่วไปอาจประสบพบเจอได้ เนื่องจากแมลงที่มีอยู่จำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วไป อาการส่วนใหญ่จะเป็นตุ่มแดงและหายได้เอง ในระยะเวลาประมาณ 5 – 10 วัน แต่ในบางรายที่มีอาการแพ้ให้รีบมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า แมลง ถือเป็นสัตว์ ที่มีการกระจายมากที่สุดในโลกใบนี้ คงเป็นไปได้ยากมาก ๆ ที่ในชีวิตของคนเรา จะไม่เคยโดนแมลงกัดเลย ซึ่งการที่แมลงนั้นมีมากจึงไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดว่าแมลงชนิดไหนเป็นอัตราย เพราะแมลงบางชนิดสามารถปล่อยสารทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ หรืออาจรุนแรงไปขึ้นขั้นเซลล์อักเสบ เช่น แมลงสังคมอย่างมดและผึ้ง เป็นตัวอย่างที่พบเห็นได้ง่ายที่สุดของสัตว์สังคม พวกมันอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ สามารถพบได้ทั่วไปได้ตามสถานที่ต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นอาคาร บ้านเรือน สวนสาธารณะ หรือป่าเขา
นายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า การป้องกันอัตรายจากแมลงนั้นสามารถทำได้หลายทาง คือควรสวมใส่เสื้อแขนขายาว รวมทั้งใช้ครีม หรือสเปรย์ เพื่อป้องกันแมลงกัด บางรายหากโดนแมลงกัดแล้วอาจทำให้เกิดพยาธิสภาพตามมา ชิ้นเนื้อที่บริเวณแมลงกัดมักจะเป็นเนื้อตายที่บริเวณผิวหนังชั้นบน จึงทำให้ผื่นมีลักษณะจุดดำๆ ตรงกลางและเซลล์อักเสบ โรคในกลุ่มนี้มักจะลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ เลยทำให้รอยโรคเหล่านี้เมื่อหายแล้วเกิดเป็นรอยดำตามมา
นายแพทย์ทนงเกียรติ เทียนถาวร นายแพทย์เชี่ยวชาญ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติม ลักษณะรอยโรคของผื่นเป็นตุ่มแดง ขนาด 2- 8 มิลลิเมตร เป็นกลุ่มๆ หรือกระจายทั่วตัว มีอาการคัน ปกติแล้วหายได้เองในระยะเวลา 5-10 วัน บางรายอาการหนักคล้ายลมพิษ เรียกว่า papular urticaria มักจะเจอได้บ่อยในคนไข้ที่มีโรคประจําตัว ในกลุ่มภูมิแพ้ร่วมด้วย ในรายที่มีอาการมากอาจต้องได้รับการรักษา ซึ่งผื่นแมลงกัดนั้น ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากการอักเสบใต้ผิวหนัง การรักษาส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การรักษาตามอาการลดอาการคัน หรือในตุ่มที่มีการอักเสบ ให้ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ในรายที่เป็นมากอาจได้รับยากินกลุ่มสเตียรอยด์ร่วมด้วยได้ หากไม่ได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ การเกามากๆ ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนในชั้นผิวหนังแท้ได้ ซึ่งการรักษาต้องมีการให้ยาทา และยากิน กลุ่มยาฆ่าเชื้อ Antibiotic ร่วมด้วย การรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อจะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกครั้ง