กรมส่งเสริมวัฒนธรรมสนับสนุนงาน EM DISTRICT SENSE OF THAI ครั้งที่ 3 เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พร้อมเผยแพร่พระอัจฉริยภาพเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี

วันที่ 16 กรกฎาคม 2567  นายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ให้การสนับสนุนการจัดงาน EM DISTRICT SENSE OF THAI มาตั้งแต่ปี 2565  โดยปีนี้เป็นครั้งที่ 3 เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงมีพระปณิธานในการส่งเสริมสืบสานและอนุรักษ์ผ้าไทย รวมถึงงานด้านศิลปหัตถกรรมของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เพื่อยกระดับสู่สากล งาน EM DISTRICT SENSE OF THAI ครั้งนี้ต่อยอดจากโครงการส่งเสริมและพัฒนาภาพลักษณ์ผ้าไทยสู่สากล ด้วยแนวคิดจากหนังสือพระนิพนธ์ THAI TEXTILES TREND BOOK ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่นำแนวคิดจากหนังสือมาพัฒนาและต่อยอดงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ้าไทยให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งเสริมสนับสนุน และกระตุ้นให้เกิดภาพลักษณ์ที่ทันสมัยให้แก่วงการผ้าไทย

การจัดงานประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การจัดแสดงนิทรรศการ THAI TEXTILES TREND การใช้ผ้าไทยจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มาตัดเย็บ ซึ่งเป็นการเฉลิมพระเกียรติและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ซึ่งถือเป็นการสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชนต่างๆ ของประเทศไทย

กรมส่งเสริมวัฒนธรรมยังเน้นพัฒนามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ้าไทยมาโดยตลอด ทั้งที่เป็นโครงการของกรมส่งเสริมวัฒนธรรมเองและโครงการที่ดำเนินการร่วมกับเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ อีกทั้งยังดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงวัฒนธรรมในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานในการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรม พร้อมกับส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ตามนโยบาย THACCA ของรัฐบาล  นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมดำเนินการเสนอรายการ ‘ชุดไทย: ความรู้ งานช่างฝีมือและแนวปฏิบัติการแต่งกายชุดประจำชาติ’ เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโก ซึ่งหากได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ จะนำมาซึ่งการเผยแพร่ความงดงามของมรดกภูมิปัญญาชุดไทยสู่สายตานานาชาติและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยต่อไป