ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร Q1/2567 ขยายตัวชะลอลง คาดส่งออกในปี 2567 ยังขยายตัวได้ แต่อาจเผชิญความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

Key Highlights

  • มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 1 อยู่ที่ 11,880 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 2 แสนล้านบาท) ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 0.3%YoY หลังจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 3.7%YoY โดยสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว ไก่ ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่วนสินค้าที่หดตัวแรง ได้แก่ มันสำปะหลัง น้ำตาลทราย
  • สำหรับสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว (43.2%YoY) ที่ได้รับอานิสงส์จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร และนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ส่วนยางพารา (9%YoY) ส่วนหนึ่งจากฐาน
    ที่ต่ำในปีก่อน และราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (4.7%YoY) กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส เนื่องจาก ปริมาณสินค้าคงคลังของคู่ค้าทยอยลดลง
  • Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยจะยังขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดได้แก่ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่แม้จะช่วยให้ไทยได้รับอานิสงส์จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร แต่จะกระทบต้นทุนค่าขนส่ง และหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น
    อาจกระทบปริมาณส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากภัยแล้ง และแรงกดดันจากการแข่งขันในตลาดจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น รวมถึงต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง และความท้าทายจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของคู่ค้า ซึ่งจะกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการ

Krungthai COMPASS

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 1 ปี 2567 ขยายตัวชะลอลง

ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 1 ปี 2567 ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 0.3%YoY เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 3.7%YoY การส่งออกไปตลาดสำคัญอย่างอาเซียนและสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 24% และ 9% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 8.8%YoY และ 21.8%YoY ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 7% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรพลิกกลับมาขยายตัว 13.5%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่ต่ำในปีก่อนในกลุ่มสินค้าหลัก อย่างอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากวิกฤตทะเลแดง ส่งผลให้คู่ค้าเร่งนำเข้าสินค้าไก่แปรรูป

อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด คิดเป็นสัดส่วน 27% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวถึง -16.2%YoY จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน กอปรกับฐานที่สูงในปีก่อน และผลผลิตผลไม้ของไทยออกสู่ตลาดล่าช้า

หมวดสินค้าเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ 6.8%YoY ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว (43.2%YoY) ไก่ (1.9%YoY) และยางพารา (24.9%YoY) ส่วนหนึ่งจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่กลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ มันสำปะหลัง (-20.8%YoY) และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (-16.0%YoY)

ด้านหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรพลิกกลับมาหดตัวที่ -6.0%YoY ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัวแรง ได้แก่ น้ำตาลทราย (-35.6%YoY) ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงในปีก่อน เนื่องจากราคาส่งออกในปีที่แล้วที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง (20.2%YoY) สิ่งปรุงรสอาหาร (13.4%YoY) และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (4.7%YoY) ซึ่งพลิกกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส เนื่องจากปริมาณสินค้าคงคลังของคู่ค้าทยอยลดลง กอปรกับความต้องการนำเข้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปในตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น จากความกังวลต่อสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล

สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ

การส่งออกข้าวไตรมาส 1 ขยายตัวต่อเนื่อง

มูลค่าการส่งออกข้าวไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ 43.2%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมที่ขยายตัว 19.4%YoY และราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยโดยรวมที่มีการปรับเพิ่มขึ้น 19.9%YoY โดยเฉพาะราคาส่งออกข้าวขาว 5% ที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 34.3%YoY จากนโยบายการจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย รวมถึงยังได้รับอานิสงส์จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร กอปรกับปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 95.8%YoY ทำให้มูลค่าการส่งออกข้าวขาว 5% ยังคงขยายตัวดีที่ 162.9%YoY

เช่นเดียวกับมูลค่าการส่งออกข้าวหอมมะลิที่ยังขยายตัว 7.9%YoY จากปัจจัยด้านปริมาณการส่งออกที่ขยายตัว 14.2%YoY จากฐานที่ต่ำในปี 2566 เป็นหลัก ส่วนราคาปรับตัวลดลง 5.5%YoY ซึ่งเกิดจากการแข่งขันกับข้าวชนิดอื่นในตลาดส่งออก เช่น ข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามที่มีราคาถูกและรสชาติดี

มูลค่าส่งออกยางพาราไตรมาส 1 ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2

มูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ขยายตัว 38.6%YoY เนื่องจากปริมาณส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว ไม่ว่าจะเป็นจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับ 1 คิดเป็น 39.8% ของการส่งออกยางแผ่นยางแท่งทั้งหมดของไทยขยายตัว 30.9%YoY รวมทั้งสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 49.4% และญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น 7.7%YoY ตามลำดับ ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน รวมทั้งยังได้รับอานิสงส์จากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 สูงถึง 3 ล้านคัน ขยายตัว 21.0%YoY ขณะที่ราคาส่งออกปรับตัวก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.5%YoY เนื่องจากปริมาณน้ำยางในตลาดโลกลดลงจากปัญหาผลผลิตของผู้ประเทศผู้ผลิตหลักลดลง เช่น อินโดนีเซีย และไทย เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเอลนีโญ

มูลค่าส่งออกน้ำยางข้นหดตัว –9.8%YoY จากปริมาณส่งออกที่หดตัวถึง -20.7%YoY ตามปริมาณส่งออกไปยังตลาดจีนที่ลดลง จากฐานที่สูงในปีก่อน ขณะที่ราคาส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.6%YoY ตามปริมาณน้ำยางในตลาด โลกที่ลดลง

มูลค่าส่งออกมันสำปะหลังไตรมาส 1 หดตัวต่อเนื่อง

มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมดในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 อยู่ที่ 939 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว -20.8%YoY โดยมูลค่าส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดอยู่ที่ 170 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 6,007 ล้านบาท) หดตัว -69.5%YoY และในแง่ปริมาณหดตัว -68.7%YoY เพราะเผชิญปัญหาวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการแปรรูปเพื่อส่งออก เนื่องจากปัญหาภัยแล้ง และบางพื้นที่ยังประสบปัญหาโรคใบด่าง ทำให้ผลผลิตได้รับความเสียหาย  ส่วนมูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังอยู่ที่ 756 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 26,694 ล้านบาท) ขยายตัว 25.5%YoY และในแง่ปริมาณขยายตัว 16.4%YoY โดยแม้ไตรมาส 1 ปี 2567 มูลค่าส่งออกแป้งมันสำปะหลังขยายตัวได้ แต่ก็เป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อน

สำหรับสถานการณ์ราคาส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดในไตรมาสที่ 1 ลดลง -2.5%YoY เนื่องจากราคา
แอลกอฮอลล์ที่ใช้มันเส้นเป็นวัตถุดิบในจีนปรับตัวลดลง ส่วนราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น 7.9%YoY เนื่องจากโรงงานแป้งมันสำปะหลังบางแห่งปรับลดกำลังการผลิต เพราะประสบปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทำให้ผลผลิตแป้งมันสำปะหลังในตลาดยิ่งมีจำกัด

การส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งไตรมาส 1 หดตัวต่อเนื่อง

มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 หดตัวต่อเนื่องที่ -16.0%YoY จากการส่งออกไปจีนซึ่งเป็นตลาดหลักหดตัว -23.6%YoY[1] โดยเฉพาะทุเรียนที่มีมูลค่าการส่งออกหดตัว -42.1%YoY [2]จากปริมาณการส่งออกที่หดตัวถึง -51.1%YoY ส่วนหนึ่งจากฐานที่สูงปีก่อน เนื่องจากมีการเร่งนำเข้าผลไม้ภายหลังทางการจีนเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ กอปรกับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนและร้อนจัด ทำให้ผลผลิตผลไม้ของไทยออกสู่ตลาดล่าช้ากว่าปกติ อีกทั้งการส่งออกทุเรียนไปตลาดจีนเผชิญปัจจัยท้าทายจากคู่แข่งที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามที่สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดทุเรียนสดในจีน จากความได้เปรียบด้านฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนที่ยาวนานกว่าไทย รวมทั้งยังมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและต้นทุนการขนส่งที่ต่ำ ทำให้การส่งออกทุเรียนของไทยลดลง

 

การส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปไตรมาส 1 กลับมาขยายตัว เนื่องจากความต้องการนำเข้าของตลาดส่งออกหลักที่ฟื้นตัว

ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ขยายตัว 1.9%YoY
โดยเฉพาะไก่แปรรูปขยายตัว 2.4%YoY [3]จากตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรปที่ขยายตัว 2.9%YoY เพราะได้รับอานิสงส์จากความกังวลวิกฤตทะเลแดงที่ยืดเยื้อ ทำให้คู่ค้าเร่งสั่งซื้อเนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นในการบริโภค ส่วนการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งยังขยายตัว 0.9%YoY จากการส่งออกไปจีนที่ยังได้รับอานิสงส์จากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น

ทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 2567-2568

ข้าว

  • คาดว่าในปี 2567 ปริมาณการส่งออกข้าวจะอยู่ที่ 8.9 ล้านตัน หรือยังคงขยายตัวราว 9%YoY จากปัญหาอุปทานข้าวโลกที่ยังตึงตัวจากปัจจัยเอลนีโญ ทำให้ประเทศคู่ค้ายังคงมีการสะสมสต็อกข้าว ขณะที่ผลผลิตข้าวไทยจะยังมีเพียงพอสำหรับส่งออก เนื่องจากปัญหาภัยแล้งในช่วงครึ่งปีแรกอาจส่งผลต่อไทยน้อยกว่าที่คาดไว้เดิม ประกอบกับช่วงครึ่งปีหลัง ไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ปรากฎการณ์ลานีญ่า หรือฝนตกชุก ส่งผลดีต่อการเพาะปลูก อีกทั้งราคาส่งออกข้าวจะยังได้รับผลดีจากราคาข้าวในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น จากการคงนโยบายการจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียที่คาดว่าจะมีผลไปจนถึงช่วงกลางปี 2567 โดยเฉพาะราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยเฉลี่ยที่คาดว่าจะอยู่ที่ 620 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือเพิ่มขึ้น 13.0%YoY จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นคาดว่าจะส่งผลดีต่อรายได้โดยรวมของผู้เล่นในตลาดข้าว ตั้งแต่ เกษตรกร หยง รวมไปถึงผู้ส่งออกข้าว อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามปัญหาต้นทุนค่าขนส่ง และค่าปุ๋ยเคมีที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจกระทบความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมข้าว
  • ส่วนในปี 2568 คาดว่าปริมาณการส่งออกจะลดลงมาอยู่ที่ 7.8 ล้านตัน หรือลดลง -5%YoY โดยหากภัยแล้งในอินเดียเริ่มคลี่คลาย จะทำให้อินเดียผ่อนคลายนโยบายควบคุมการส่งออกข้าวมากขึ้น ทำให้อานิสงส์จากการที่ผู้นำเข้าข้าวหันมานำข้าวไทยทดแทนอินเดียทยอยหมดลง ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ 595 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือลดลง -4.1%YoY

ยางพารา

  • ในปี 2567 คาดว่ามูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 31 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.8%YoY โดยเป็นผลจากราคาส่งออกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 32.8%YoY เป็น 1.93 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน เพราะในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าราคาส่งออกจะอยู่ในระดับสูง เนื่องจากผลผลิตยางพาราโลกต่ำกว่าความต้องการใช้ยางพาราของโลก เพราะผลผลิตยางพาราของประเทศผู้ผลิตสำคัญ เช่น ไทยและอินโดนีเซีย ได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ในช่วงปลายปี 2566 ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดว่าราคาส่งออกยางพาราจะมีแนวโน้มลดลง ตามผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ส่วนปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้น 2.0%YoY ตามภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่ทยอยฟื้นตัว
  • ส่วนในปี 2568 คาดว่ามูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 33 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6%YoY โดยเป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 4.0%YoY เป็น 2.1 ล้านตัน ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก อีกทั้งภาคการผลิตในจีนที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ทำให้ความต้องการใช้ยางเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์ในจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาส่งออกยางพาราปรับตัวลดลง -2.4%YoY เป็น 1.89 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก
  • ขณะที่ในปี 2567 คาดว่ามูลค่าส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.8%YoY โดยเป็นผลจากราคาส่งออกน้ำยางน้ำข้นที่คาดว่าจะอยู่ที่ 52.1 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 32.8%YoY และปริมาณการส่งออกที่จะเพิ่มขึ้น 2.0%YoY เป็น 0.79 ล้านตัน ตามความต้องการใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตในอุตสาหกรรมยางทางการแพทย์
  • ส่วนในปี 2568 คาดว่ามูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 10.4%YoY ตามปริมาณการส่งออกที่จะเพิ่มขึ้น 4.0% YoY เป็น 82ล้านตัน จากความต้องการใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตในอุตสาหกรรมยางทางการแพทย์ ขณะที่ราคาส่งออกน้ำยางข้นลดลงเท่ากับ 50.8 บาท/กก หรือลดลง 2.4%YoY ตามผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

มันสำปะหลัง

  • ในปี 2567-2568 คาดว่าอุตสาหกรรมต่อเนื่องในจีนจะนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยเพื่อทดแทนการใช้ข้าวโพดในประเทศ เนื่องจากความต้องการใช้ต่อสต็อกข้าวโพดของจีนที่ยังสูงอยู่ที่ราว 1.5 เท่า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2562-2566 ซึ่งอยู่ที่ 1.4 เท่า) แต่ผลผลิตมันสำปะหลังไทยอาจไม่เพียงพอต่อการส่งออกในปี 2567 เนื่องจากปัญหาภัยแล้งในช่วงครึ่งแรก จะทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านเอลนีโญเข้าสู่ลานีญาในช่วงครึ่งปีหลังจะเอื้อต่อการเพาะปลูกมากขึ้น ส่วนในปี 2568 หากสภาพอากาศเอื้ออำนวย คาดว่าจะทำให้ผลผลิตกลับมาขยายตัวได้
  • จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นคาดว่าในปี 2567ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ 3 ล้านตัน หรือหดตัว -4.0%YoY สำหรับราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 8.8 บาท/กก. และ 276 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (เพิ่มขึ้น 1.0%YoY และ 1.5%YoY) ส่วนในปี 2568 ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ 4.6 ล้านตัน หรือขยายตัว 5.0%YoY ขณะที่ราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 8.7 บาท/กก. และ 270 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (ลดลง -1.0%YoY และ -2.0%YoY)
  • คาดว่าในปี 2567 ปริมาณส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 3.9 ล้านตัน หรือหดตัว -1.0%YoY สำหรับราคาเฉลี่ยแป้งมันสำปะหลังในประเทศและราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 18.6 บาท/กก. และ 578 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (เพิ่มขึ้น 2.0%YoY และ 4.0%YoY)
  • ส่วนในปี 2568 ปริมาณส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ 4.1 ล้านตัน หรือขยายตัว 6.0%YoY สำหรับราคาเฉลี่ยแป้งมันสำปะหลังในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 18.4 บาท/กก. และ 566 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (ลดลง -1.0%YoY และ -0%YoY)

ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง

  • ในปี 2567-2568 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยจะอยู่ที่ราว 48 และ 2.63 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 4.8%YoY และ 5.8%YoY ตามลำดับ โดยในปี 2567 มูลค่าการส่งออกจะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อน เพราะปัจจัยกดดันด้านผลผลิตเป็นหลัก โดยแม้ราคาทุเรียนที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีจึงจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกแต่ปัญหาความแปรปรวนของสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งจัด ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของทุเรียนลดลง ทั้งนี้คาดว่าปัญหาดังกล่าวจะบรรเทาลงในปี 2568 จากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย
  • นอกจากนี้ แม้ความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่การส่งออกไปจีนเผชิญปัจจัยท้าทายจากคู่แข่งที่สูงขึ้น ภายหลังเวียดนามและฟิลิปปินส์สามารถส่งออกทุเรียนสด เข้าจีนตั้งแต่เดือน ก.ค. 2565 และ ม.ค. 2566 ตามลำดับ

อีกทั้งหลายประเทศกำลังเร่งพัฒนาคุณภาพทุเรียนและต่อคิวขอใบอนุญาตส่งออกทุเรียนสดเข้าจีน  อาทิเช่น มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา เป็นต้น รวมถึงผลผลิตทุเรียนของจีนที่จะออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การแข่งขันด้านราคาในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยบั่นทอนต่อการเติบโตของการส่งออกทุเรียนของไทย ดังนั้น    ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป

  • ในปี 2567-2568 คาดว่ามูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.46 และ 1.53 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 0%YoY และ 5.0%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่ยังขยายตัว ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน

รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังรวมถึงมาตรการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไก่เหลือ 0% ของเกาหลีใต้ หลังบราซิล ซึ่งเป็นประเทศที่เกาหลีใต้นำเข้าไก่เป็นอันดับหนึ่งประสบปัญหาโรคไข้หวัดนก ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกไก่ของไทย

สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกไปยังซาอุดิ-อาระเบีย เนื่องจากเป็นประเทศผู้นำเข้าไก่รายใหญ่อันดับ 6 ของโลก กอปรกับภาครัฐของไทยมีการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไก่ ซึ่งเป็นไก่ฮาลาลไปยังซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้น หลังจากมีการยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตทั้ง 2 ประเทศ

ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย

สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ท่ามกลางวิกฤตทะเลแดงที่ยืดเยื้อและรุนแรง อาจซ้ำเติมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยไปตะวันออกกลางและสหภาพยุโรป แม้ว่าในระยะสั้น ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นโอกาสสำหรับสินค้าในกลุ่มอาหารของไทย จากการเร่งนำเข้า เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ความตึงเครียดในทะเลแดงและตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจนำไปสู่การปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นช่องทางขนส่งน้ำมันหลักราว 21% ของปริมาณการขนส่งน้ำมันทั่วโลกจะทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นกระทบต้นทุนค่าขนส่งของผู้ประกอบการ รวมทั้งอาจทำให้การขนส่งสินค้ามีความยากลำบาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยที่พึ่งพาตลาดตะวันออกกลางและตลาดสหภาพยุโรปในสัดส่วนที่สูง เช่น ข้าว ยางพารา ไก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และสิ่งปรุงรสอาหาร เป็นต้น (ในปี 2566 ไทยส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปยังตลาดตะวันออกกลางและตลาดสหภาพยุโรป คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 15%-25% ของการส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปยังตลาดโลก)

Implication:

Krungthai COMPASS มองว่า แม้การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2567 จะขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้

  • ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่เพิ่มขึ้น อาจกระทบต่อปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย และต้นทุนค่าขนส่ง แม้ว่าปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหารของไทย ส่งผลให้มีการเร่งนำเข้าเพื่อกักตุน เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ดี หากสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านทวีความรุนแรงมากขึ้น จะทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าขนส่งที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และอาจทำให้การขนส่งสินค้าไปยังตะวันออกกลางหยุดชะงัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยที่พึ่งพาตลาดตะวันออกกลางในสัดส่วนที่สูง เช่น สินค้าในกลุ่มข้าว และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น
  • ความท้าทายจากการแข่งขันในตลาดจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง เนื่องจากหลายประเทศกำลังเร่งพัฒนาคุณภาพทุเรียนและต่อคิวขอใบอนุญาตส่งออกทุเรียนสดเข้าจีน โดยคาดว่ามาเลเซียอาจได้รับอนุญาตส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ภายในปี 2567 ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันด้านราคาของทุเรียนสดในตลาดจีนรุนแรงมากขึ้น กระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทย
  • ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น อาจกดดันต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร โดยล่าสุดรัฐบาลมีแผนจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาท โดยให้เริ่มมีผลในวันที่
    1 ตุลาคม 2567 ซึ่งจะกระทบกับผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง เป็นต้น
  • ประเทศคู่ค้าที่มุ่งเน้นมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมุ่งเน้นความเป็นกลางทางคาร์บอน และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free products) ที่จะเริ่มนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 30 ธ.ค. 2567 อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยางพารา และน้ำมันปาล์ม

 

[1] มูลค่าการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีนเฉลี่ย 3 ปี (2563-2565) คิดเป็นสัดส่วน 83% ของการส่งออกผลไม้ทั้งหมด

[2] มูลค่าการส่งออกทุเรียนของไทยเฉลี่ย 3 ปี (2563-2565) มีสัดส่วน 61% ของมูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ลำไย และมังคุด คิดเป็นสัดส่วน 16% และ 9% ของมูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งทั้งหมด ตามลำดับ

[3] สัดส่วนมูลค่าการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและไก่แปรรูป เฉลี่ย 3 ปี (2564-2566) มีสัดส่วน 30% และ 70% ของมูลค่าส่งออกไก่ทั้งหมดของไทย ตามลำดับ