วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.30 น. ท่านอธิบดีมอบหมายให้ นายสมพร กาญจน์นิรันดร์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐหรือนิติบุคคลอื่นใดที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ โดยมีสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นำทีมระดมสมอง โดย ศ.วุฒิสาร ตันไชย ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงสร้างองค์กร และนางพิชญ์ณัชชา ศรีหิรัญรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ ร่วมประชุมรับฟังพร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เพื่อพัฒนางานจัดรูปที่ดินและเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาพื้นที่ด้วยวิธีจัดรูปที่ดิน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านการผังเมืองได้อย่างรวดเร็วและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ในการพัฒนาพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคของประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีการศึกษา วิเคราะห์รูปแบบและโครงสร้างขององค์กรหรือหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการพัฒนาเมืองทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยนำมาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับบริบทของประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐหรือนิติบุคลคลอื่นใดที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ต่อไป
ทั้งนี้ ทีมคณะวิจัยซึ่งประกอบด้วย ดร.ณรงค์ ป้อมหลักทอง (ผู้จัดการโครงการฯ) ดร.ระพี ผลพานิชย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เอกวีร์ มีสุข ได้เสนอแนะเครื่องมือ กลไกทางเศรษฐศาสตร์หรือกลไกอื่นๆ ที่เหมาะสมในการพัฒนาเมืองด้วยวิธีการจัดรูปที่ดินภายใต้พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 และผลการศึกษาหน่วยงานเพื่อพัฒนาเมือง ด้วยวิธีการจัดรูปที่ดิน รูปแบบใหม่ในรูปแบบหน่วยงานหรือนิติบุคคลที่เหมาะสมในการพัฒนาเมืองด้วยวิธีการจัดรูปที่ดิน ตามมาตรา 35 (3) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 รวมทั้งรูปแบบหน่วยงานที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ก่อนสรุปผลการศึกษาให้กรมโยธาธิการและผังเมืองวางแผนดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ซึ่งครอบคลุมถึงบทบาทภารกิจโครงสร้างระบบและกระบวนการทำงาน และกรอบอัตรากำลังที่เหมาะสม สอดคล้องกับภารกิจและยุทธศาสตร์ของการพัฒนางานด้านการพัฒนาเมืองโดยใช้วิธีการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ต่อไป การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 41501 อาคาร 4 ชั้น 15 กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระราม 9 และประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งสิ้น 220 คน