คปภ. เร่งประกันจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีรถตู้ชนรถพ่วง 18 ล้อ แรงงานชาวลาว-คนไทย ดับ 12 ศพ บาดเจ็บ 3 ราย ที่จังหวัดสระแก้ว

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีรถตู้หมายเลขทะเบียน 34-0405 กรุงเทพมหานคร ชนกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ (หัวลาก) ทะเบียน 70-1234 อุตรดิตถ์ และ (ตัวพ่วง) ทะเบียน 70-1235 อุตรดิตถ์ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอวังสมบูรณ์ ตำบลวังใหม่ อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว เป็นเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวน 3 ราย และมีผู้เสียชีวิต 12 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 12 ราย เป็นคนไทยที่ขับรถตู้ 1 ราย และอีก 11 ราย เป็นแรงงานชาวลาว ที่นั่งโดยสารมากับรถตู้คันที่ประสบอุบัติเหตุดังกล่าว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2562 โดยเบื้องต้นได้สั่งการให้สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับ สำนักงาน คปภ. ภาค 6 (ชลบุรี) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดสระแก้ว รายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และให้ประสานความร่วมมือกับบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งติดตามและตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 12 ราย ที่เป็นคนไทยและที่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวลาว ได้มีการทำประกันชีวิตหรือประกันอุบัติเหตุประเภทกลุ่มไว้ด้วยหรือไม่ เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

ทั้งนี้ ได้รับรายงานเบื้องต้นจาก สำนักงาน คปภ. จังหวัดสระแก้ว ว่า รถตู้หมายเลขทะเบียน 34-0405 กรุงเทพมหานคร ได้ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 12722-61208/กธ/6254507 เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง 31 ธันวาคม 2562 และได้ทำประกันภัยรถภาคสมัครใจไว้กับบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 61-1-2702138 เริ่มคุ้มครองวันที่ 12 ตุลาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 12 ตุลาคม 2562 โดยให้ความคุ้มครองชีวิต ร่างกาย อนามัย บุคคลภายนอก 300,000 บาทต่อคน/10,000,000 บาทต่อครั้ง กรณีความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก 600,000 บาทต่อครั้ง กรณีเสียหายต่อรถยนต์ 330,000 บาทต่อครั้ง ประกันอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร 100,000 บาทต่อคน  ค่ารักษาพยาบาล 50,000 บาทต่อคน โดยคุ้มครองผู้ขับขี่ 1 คน ผู้โดยสาร 14 คน และคุ้มครองประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาทต่อครั้ง

สำหรับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ (หัวลาก) ทะเบียน 70-1234 อุตรดิตถ์ ได้ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 06386-61502/กธ/4528361 เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และได้ทำประกันภัยรถภาคสมัครใจ ไว้กับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 10586-61502/กธ/032791-10 เริ่มคุ้มครองวันที่ 25 ตุลาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง วันที่ 25 ตุลาคม 2562  โดยให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก กรณีเสียหายต่อชีวิตร่างกายหรืออนามัย (เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พ.ร.บ.) 300,000 บาทต่อคน/10,000,000 บาทต่อครั้ง กรณีความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก 1,000,000 บาทต่อครั้ง กรณีความเสียหายต่อรถยนต์ 2,000,000 บาทต่อครั้ง ในส่วนของประกันอุบัติเหตุ กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร 100,000 บาทต่อคน ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาทต่อคน โดยคุ้มครองผู้ขับขี่ 1 คน ผู้โดยสาร 2 คน และคุ้มครองการประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาท ต่อครั้ง ส่วน (ตัวพ่วง) ทะเบียน 70-1235 อุตรดิตถ์ ได้ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 06386-61502/กธ/4528362 เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 ธันวาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และได้ทำประกันภัยรถภาคสมัครใจ ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 10586-61502/กธ/032792-10 เริ่มคุ้มครองวันที่ 25 ตุลาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 25 ตุลาคม 2562 โดยให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกกรณีเสียหายต่อชีวิตร่างกายหรืออนามัย (เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พ.ร.บ.) 300,000 บาทต่อคน/10,000,000 บาทต่อครั้ง กรณีความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก 600,000 บาทต่อครั้ง กรณีความเสียหายต่อรถยนต์ 450,000 บาทต่อครั้ง

สำหรับ การจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต 12 ราย และผู้บาดเจ็บ 3 ราย นั้น จากการติดตามอย่างใกล้ชิดทราบว่าผู้เสียชีวิต 1 ราย ที่เป็นคนไทยและเป็นผู้ขับรถตู้ มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดระยอง และทางครอบครัวจะนำศพกลับไปบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดระยอง ดังนั้นสำนักงาน คปภ.จังหวัดสระแก้ว จึงประสานไปยังสำนักงาน คปภ. จังหวัดระยอง ให้อำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับญาติผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวแล้ว ในส่วนผู้เสียชีวิต 11 ราย ที่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวลาวนั้น ได้มีการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองเกี่ยวกับการออกเอกสารต่างๆ ของผู้เสียชีวิต เพื่ออำนวยความสะดวกในการช่วยประสานกับบริษัทประกันภัย รวมทั้งเร่งรัดเรื่องการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้มีความรวดเร็วและเป็นธรรม ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจัดทำเอกสารประกอบการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไป ในส่วนผู้บาดเจ็บ 3 รายนั้น มีบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย ได้เดินทางกลับบ้านแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ทางสำนักงาน คปภ. ได้มีการประสานแจ้งสิทธิค่ารักษาพยาบาลกับทางญาติของผู้บาดเจ็บและโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จากอุบัติเหตุในครั้งนี้ผู้บาดเจ็บที่โดยสารมากับรถตู้จะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามจ่ายจริงและค่าเสียหายที่จ่ายจริงตามพ.ร.บ. ไม่เกิน 80,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลตามสัญญาแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจ 50,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายตามมูลละเมิดตามความเสียหายที่แท้จริงจากกรมธรรม์ภาคสมัครใจในส่วนของความรับผิดต่อบุคคลภายนอกไม่เกิน 300,000 บาท ส่วนผู้ขับรถตู้คนไทยที่เสียชีวิต ในเบื้องต้นจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 135,000 บาท จากกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 35,000 บาท และจากสัญญาเพิ่มเติมประกันอุบัติเหตุ (PA) จำนวน 100,000 บาท

สำหรับผู้โดยสารที่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวลาวทั้ง 11 ราย จะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายละไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท จากกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 300,000 บาท สัญญาเพิ่มเติมประกันอุบัติเหตุ (PA) จำนวน 100,000 บาท และความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกจากกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจ จำนวน 300,000 บาท ทั้งนี้พนักงานสอบสวนกำลังเร่งดำเนินการสรุปผลคดีเพื่อประกอบการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อไป 

“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 12 ราย และผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกสถานที่ จึงควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย และฝากเตือนประชาชน ควรใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะเส้นทางการจราจรที่ไม่คุ้นเคย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น และหมั่นตรวจสอบสภาพรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนตรวจวันหมดอายุกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (ประกันภัย พ.ร.บ.) ตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งควรทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจและประกันชีวิตอื่นๆ ด้วย เพื่อที่ระบบประกันภัยจะได้เข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยสามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วน คปภ. 1186 หรือเว็บไซต์ www.oic.or.th หรือ กลุ่มงานสื่อสารองค์กร โทรศัพท์ 02-515-3998-9 ต่อ 8307 โทรสาร 02-513-1437 http://www.facebook.com/PROIC2012