รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมแถลงขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” รับมือ “มหาสงกรานต์ 21 วัน” สั่งทุกหน่วยงานในสังกัดเตรียมพร้อมดูแลประชาชน ตรวจจับขาย “น้ำเมา” ผิดกฎหมาย ขอ “ครอบครัว-ร้านอาหาร-สถานบันเทิง” ดูแลเข้มไม่ให้คนดื่มขับรถ เตรียมทีมแพทย์ฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิต ย้ำเจ็บตายยังมาจากขับรถเร็ว เมาแล้วขับ ตัดหน้ากระชั้นชิด ไม่สวมหมวกนิรภัย ตั้งเป้าลดลงเกินครึ่ง พร้อมให้รายงานผลตรวจเลือดวัดแอลกอฮอล์ภายใน 24-48 ชั่วโมง สนับสนุนตำรวจดำเนินคดี
วันที่ 3 เมษายน 2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้แทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันแถลงข่าวขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า รัฐบาลประกาศให้มีการจัดกิจกรรม “มหาสงกรานต์ World Songkran Festival”ตั้งแต่วันที่ 1-21 เมษายน 2567 รวม 21 วัน เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนประเพณีสงกรานต์เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ รวมทั้งมีการประกาศวันหยุดราชการช่วงเทศกาลสงกรานต์ 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 12 – 16 เมษายน 2567 เพื่อให้ประชาชนเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อมีการใช้รถใช้ถนนจำนวนมาก ประกอบกับพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศมีการจัดงานประเพณีและงานรื่นเริง ทำให้มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าช่วงปกติ ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์อำนวยการความปลอดภัยถนน (ศปถ.) จึงประกาศดำเนินงานเข้มข้นเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน ลดผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ช่วง 7 วัน ระหว่างวันที่ 11- 17 เมษายน 2567 รวมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดและบุคลากรเตรียมความพร้อมในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่
นพ.ชลน่านกล่าวต่อว่า ในช่วง 7 วัน เทศกาลสงกรานต์ปี 2566 มีอุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้น 2,203 ครั้ง เสียชีวิต 264 ราย และบาดเจ็บรุนแรง 2,208 ราย สาเหตุหลักมาจากการขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ ตัดหน้ากระชั้นชิดในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะลดลงให้ได้เกินครึ่งหนึ่งจากมาตรการที่เข้มข้นของทุกฝ่าย สำหรับการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ที่ประสบอุบัติเหตุที่ไม่สามารถตรวจวัดโดยวิธีเป่าลมหายใจผ่านเครื่องตรวจได้ พบผู้ขับขี่ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกฎหมายกำหนดถึง ร้อยละ 33.53 ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 80.46 ผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิต ไม่ได้สวมหมวกนิรภัยเกือบร้อยละ 90 เมื่อเกิดอุบัติเหตุจึงทำให้บาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต ดังนั้น ผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ ขอให้สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ส่วนผู้ที่เดินทางโดยรถยนต์ รถรับจ้าง รถโดยสารสาธารณะ ให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และหากเป็นเด็กเล็กควรจัดหาที่นั่งนิรภัย (Car Seat) ให้เด็กด้วย
“หวังว่าพี่น้องประชาชนจะเดินทางไปกลับและท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย สุขกาย สุขใจ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดและบุคลากรเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนแล้ว หากเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตถึงชีวิต สามารถใช้สิทธิ UCEP เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทั้งของรัฐหรือเอกชน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จนพ้นวิกฤตหรือสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย” นพ.ชลน่านกล่าว
นพ.โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ทั้งที่ส่วนกลางและระดับจังหวัด เพื่อเป็นศูนย์ประสานและสนับสนุนการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาล ประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัด “ชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน” พร้อมฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยฉุกเฉิน ลงพื้นที่ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกัน,เตรียมความพร้อมหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) ทั้งภาครัฐและเอกชนทุกระดับ รวมทั้งทางอากาศและทางเรือ สำหรับโรงพยาบาล ให้เตรียมทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู ระบบส่งต่อ ให้พร้อมรับผู้บาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุหมู่หรือมีความรุนแรง, เตรียมการรับ/ส่งต่อของสถานพยาบาลในเครือข่าย, ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ 1669 ให้ติดต่อประสานงานส่วนกลางกับจังหวัดและเครือข่ายสถานบริการตลอด 24 ชั่วโมง, เจาะเลือดผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่สามารถเป่าลมหายใจผ่านเครื่องตรวจได้ ตามการร้องขอของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และบูรณาการการบำบัดรักษาฟื้นฟูสภาพผู้ถูกคุมประพฤติฐานขับรถในขณะเมาสุรากับหน่วยบริการของโรงพยาบาล ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยคัดกรองหรือประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ที่คุมประพฤติจังหวัดส่งมาให้ ประเมินปัญหาการดื่มสุราและช่วยเหลือตามแนวทางที่กำหนด
“ขอให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนำข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนของปีที่ผ่านมา มาวิเคราะห์หาสาเหตุ พฤติกรรมเสี่ยง จุดเสี่ยง และสะท้อนปัญหาให้กับ ศปถ.จังหวัด/อำเภอ เพื่อวางแผนแก้ไขและออกมาตรการระดับพื้นที่ ทั้งนี้ช่วงสงกรานต์แต่ละปีมีผู้บาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นกว่าในช่วงปกติ เฉลี่ยวันละกว่า 3,500 ราย คาดว่าสงกรานต์ปีนี้จะมีการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น จึงขอให้ประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุด้วยการ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้มีเวลาดูแลผู้ป่วยอื่นๆอย่างเต็มที่” นพ.โอภาสกล่าว
นพ.ดิเรก กล่าวว่า ปัญหาการดื่มแล้วขับยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง พบการขายในสถานที่และเวลาห้ามขาย จึงเน้นย้ำให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทำงานเชิงรุก โดยช่วงก่อนเทศกาล ให้ออกตรวจเตือน/ประชาสัมพันธ์บังคับใช้กฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วงเทศกาล ให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) ทั้ง 12 เขต สุ่มตรวจการกระทำผิดกฎหมาย ทั้งการขายสุราในสถานที่ห้ามขาย สำรวจร้านค้าในชุมชนที่ขายสุราในเวลาห้ามขาย และให้สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จัดทีมเจ้าหน้าที่ออกตรวจเตือน/ตรวจจับผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกรณีพบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และมีการดื่มสุราจะส่งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนและดำเนินคดีไปถึงผู้ขาย หากประชาชนพบเห็นผู้กระทำผิดกฎหมายให้โทรศัพท์แจ้งศูนย์ร้องเรียนบุหรี่และสุรา โทร. 0-2590-3342 หรือ สายด่วน 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนประเด็นการดื่มแล้วขับ หากดื่มที่บ้านตนเองหรือบ้านญาติ ขอให้ครอบครัวช่วยตักเตือนห้ามปรามไม่ให้ผู้ดื่มขับรถกลับบ้านเอง แม้ระยะทางจะใกล้ ก็ต้องหาผู้ขับขี่แทนหรือจัดหาที่พักที่ปลอดภัย ส่วนผู้ประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิง ขอความร่วมมือคัดกรองนักท่องเที่ยวที่ดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ไม่ให้ขับรถ โดยจัดหารถสาธารณะหรือผู้ขับขี่แทน ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ขับเคลื่อน และเน้นย้ำ “ดื่มไม่ขับ” จากข้อมูลของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข 11-17 เม.ย.66 พบผู้ขับขี่ที่ดื่มแล้วขับ 4,340 ราย โดยเป็นผู้ที่ดื่มแล้วขับ และขับรถล้ม 2,319 ราย คิดเป็น 53.43% และเกิดอุบัติเหตุ ในผู้ที่ดื่มแล้วขับที่เป็นเยาวชนต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 502 รายหลายคนอาจคิดว่าดื่มนิดเดียวไม่เป็นไร เพราะขณะที่ดื่มแอลกอฮอล์ยังดื่มซึมได้ไม่หมด แต่ขณะขับขี่จะดูดซึมขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับที่ส่งผลทำให้หมดสติ และเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางได้ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567สสส. ได้รณรงค์ภายใต้แคมเปญ “ดื่มไม่ขับ สงกรานต์กลับบ้านปลอดภัย” ดื่มเหล้าเมาถึงสมอง เผยแพร่สปอตรณรงค์ชุด “กล้าเสี่ยง” เพื่อสื่อสารให้เห็นผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่ส่งผลต่อสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ทำให้มีความกล้า คึกคะนอง และกล้าเสี่ยงมากขึ้น และยังผลิตสื่อชุดความรู้เนื้อหา “ดื่มไม่ขับ”พร้อมสื่อภาพรณรงค์ส่งต่อครอบครัว เพื่อน และภาคีเครือข่าย
“สสส. ได้ร่วมกับเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับกว่า 100 เครือข่ายทั่วประเทศ รณรงค์ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย สานพลังระดับพื้นที่ได้สนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ป้องกันอุบัติเหตุอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะพื้นที่จัดกิจกรรมเล่นน้ำ และอำเภอเสี่ยง 222 อำเภอ เน้นมาตรการดื่มไม่ขับ-ไม่ขับเร็ว-สวมหมวกนิรภัย และในเครือข่ายตำบลสุขภาวะ กว่า 3,000 แห่ง ศูนย์ประสานงานการจัดการความปลอดภัยทางถนน และ อปท.เครือข่าย 182 แห่ง นอกจากนี้ได้ร่วมกับ ศวปถ. กรมประชาสัมพันธ์ รณรงค์ประชาสัมพันธ์ ป้องกันอุบัติเหตุที่มักจะเกิดใกล้บ้านไม่เกิน 5 กม. โดยมี อสม. และเครือข่ายสื่อสารมวลชน สร้างพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย ช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข หลายคนเฉลิมฉลอง และคิดว่าดื่มเพียงเล็กน้อยไม่เป็นไรแต่อาจทำให้ต้องสูญเสียเสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ ทั้งตนเอง และคนรอบข้าง จึงขอเน้นย้ำ สงกรานต์นี้ ลด ละ เลิกพฤติกรรม ดื่มแล้วขับ” นพ.พงศ์เทพ กล่าว