นายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ Thailand Tourism 2025 ตามนโยบาย IGNITE Thailand ผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว (Tourism Hub) และเป็นจุดหมายปลายทาง (Destination) ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก “สุดาวรรณ” เปิด 5 กลยุทธ์ก้าวต่อไปในปี 2025 “ปักหมุดการท่องเที่ยวไทยปีหน้าต้องปังกว่าเดิม”
วันที่ 2 เมษายน 2567 ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงวิสัยทัศน์ Thailand Tourism 2025 ตามนโยบาย IGNITE Thailand ที่ต้องการผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว (Tourism Hub) และเป็นจุดหมายปลายทาง (Destination) ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้จัดทำ Workshop IGNITE Thailand’s Tourism เพื่อระดมความคิดเห็น และร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากบุคลากรทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทุกคนได้ร่วมกันจุดพลังเพื่อโชว์ให้โลกรู้ว่า “How Amazing We Are”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 9.4 ล้านคน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 6.6 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 42 ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ก้าวต่อไปในปี 2025 เราต้อง “ปักหมุดการท่องเที่ยวไทยปีหน้าต้องปังกว่าเดิม” และเติบโตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ประเทศไทยจะไม่หลับใหล เพิ่มมิติใหม่แห่งการท่องเที่ยวการท่องเที่ยวจะนำพาประเทศไทยไปสู่ช่วงเวลาที่สดใสและบรรยากาศแห่งความสุข ประเทศไทยจะต้องเป็น Tourism Hub และเป็น Destination ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของไทยซึ่งสอดรับกับเป้าหมาย Thailand’s Aviation Hub ในการรองรับผู้เดินทางได้มากถึง 150 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2030 เพื่อประเทศไทยต้องเป็น “ที่หนึ่ง” ของการท่องเที่ยว “IGNITE Tourism Thailand”
สำหรับผลจากการจัดทำเวิร์คช้อปที่คลอดออกมาเป็น Thailand Tourism 2025 ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย
กลยุทธ์แรก สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว เชื่อมต่อการเดินทาง ความปลอดภัย สะดวกสบาย สะอาด ปี 2025 เป็นปีที่นักท่องเที่ยวจะประทับใจ ในทุกย่างก้าว ในทุกประสบการณ์ที่ได้สัมผัส เริ่มจากการปรับปรุงความสะดวกสบายในทุกๆ Touch Point เริ่มจากการสร้างความประทับใจตั้งแต่การเดินทาง เราจะให้ข้อมูลที่สำคัญกับนักท่องเที่ยวตั้งแต่เดินทางอยู่บนเครื่องบิน เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการในสนามบิน เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับและให้บริการนักท่องเที่ยวในสนามบิน สำหรับโรงแรมที่พักต้องพักสบาย ปลอดภัย มีโปรโมชั่นที่หลากหลาย พร้อมยกระดับมาตรฐานโรงแรมทั่วประเทศ เพิ่มการเข้าถึงโรงแรมขนาดเล็ก เช่น การจัดทำเว็บไซต์รวบรวมรายชื่อโรงแรมทุกจังหวัดและโปรโมชั่นไว้ด้วยกันทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ใน 3 เดือนนี้ ประเทศไทยจะเพิ่ม Free VISA ให้หลายประเทศมากขึ้นรวมทั้งหมดขยายระยะเวลาในการเข้าพักให้กับนักท่องเที่ยว จาก 30 วัน เป็น 60 หรือ 90 วัน ให้หลากหลายประเทศมากขึ้นและเพิ่มระยะเวลาในการพักให้นานขึ้น และในระยะเวลา 6 เดือนจะเพิ่มความสะดวกสบายในการขอ VAT Refundมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า และตู้ Kiosk เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเพื่อดึงดูดผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในประเทศไทยเช่น กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กฎหมายการกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม กฎหมายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในการขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และการจัดเก็บภาษีนำเข้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมระดับโลก
กลยุทธ์ที่สอง 5 สิ่งที่ต้องทำเมื่อมาถึงประเทศไทย (Must Do in Thailand) หรือ 5 M คือ Must Beat มวยไทย จะเปิดประสบการณ์ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมทดลองร่วมเล่น ร่วมเรียนรู้แม่ไม้มวยไทยทั้ง 4 ภาค เช่น มวยไชยาจากภาคใต้ มวยลพบุรีจากภาคกลาง มวยโคราชจากอีสาน และมวยท่าเสาจากภาคเหนือ
Must Eat อาหารไทย จะผลักดันให้นักท่องเที่ยวได้อร่อยทั่วไทยกับเมนูเด็ดประจ าจังหวัด “77 อาหารถิ่น 77 ขนมไทย”ซึ่งเปรียบเสมือนการถ่ายทอดเรื่องราววิถีชีวิตของคนในพื้นที่
Must Seek วัฒนธรรมไทย จะดึงจุดเด่นและความพิเศษของแต่ละวัดและโบราณสถาน เพื่อสร้าง Story บนเส้นทางศรัทธาเพื่อดึงดูดความสนใจ ที่กำลังดังในตอนนี้ คือ วัฒนธรรมสายมูที่สะท้อนผ่านศิลปะการสักยันต์ ทุกท่านทราบกันแล้วนะคะ ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดง เช่น Angelina Jolie, Ed Sheeran ที่มาสักยันต์ในเมืองไทย ยิ่งไปกว่านั้นความนิยมนี้ได้เข้าไปสู่ความเป็นแฟชั่น เช่น ลายเสื้อผ้า หรือ Accessories อื่นๆ
Must Buy ผ้าไทย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญาทรงเป็นต้นแบบด้านผ้าไทย และด้วยพระอัจฉริยภาพในการออกแบบและการเลือกผลิตภัณฑ์ผ้าไทยอย่างประณีต ทำให้ผ้าไทยเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้ จึงมุ่งส่งเสริมผ้าไทยไปต่างแดนด้วยการ Co-branding กับ Fashion Designer ระดับโลก จะต่อยอดผ้าไทยเป็น Fashion Item ที่แพร่หลายไปทั่วโลก เรามีผ้าหลากหลายในทุกภูมิภาคไม่ว่าจะเป็น ผ้าม่อฮ่อม (แพร่) ผ้าไหมปักธงชัย(นครราชสีมา) ผ้าย้อมคราม (สกลนคร)และผ้าทอเกาะยอ (สงขลา)
และ Must See โชว์ไทย นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดดูโชว์ไทยที่หลากหลาย เช่น การแสดงโขน ถือเป็นความภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศที่ UNESCO ประกาศให้โขนขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมนอกจากนี้ ยังมีการแสดงโชว์ในเมืองไทยที่น่าสนใจเช่น อัลคาซ่าร์ และไซมอนคาบาเร่ต์โชว์ที่ทำให้คนทั่วโลกประทับใจ
กลยุทธ์ที่สาม เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว “จากนี้ไปประเทศไทยเที่ยวได้ทุกภูมิภาค” ประเทศไทยยังมีอีกหลายเมือง ที่รอให้นักท่องเที่ยวเข้าไปค้นหาและเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ นโยบายของรัฐบาลต้องการให้มีการการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองใกล้เคียงเป็นการกระจายนักท่องเที่ยวไปสู่ภูมิภาคต่างๆ พร้อมทั้งกระจายรายได้สู่เมือง ตัวอย่างเช่น เส้นทางที่ 1 Lanna Culture (เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง) ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ อารยธรรมล้านนา เส้นทางที่ 2 UNESCO Heritage Trail มรดกไทย มรดกโลก (สุโขทัย –กำแพงเพชร-นครราชสีมา) เส้นทางที่ 3 เส้นทางตามรอยศรัทธาพญานาคNAGA Legacy (นครพนม-สกลนคร -บึงกาฬ) เส้นทางที่ 4 Paradise Islands (ตรัง – สตูล) หมู่เกาะแห่งอันดามันใต้ สวรรค์แห่งท้องทะเล และเส้นทางที่ 5 The Wonder of Deep South (ปัตตานี – ยะลา – นราธิวาส)ใต้สุดแห่งสยามมนต์เสน่ห์แห่งพหุวัฒนธรรม
กลยุทธ์ที่สี่ Hub of ASEAN เปิดประตูการท่องเที่ยวสู่อาเซียน “มาไทยที่เดียวเที่ยวต่อได้อีกหลายประเทศ” จะมีการเชื่อมโยงการเดินทางกับประเทศเพื่อนบ้านพันธมิตรให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อ ดึงจุดท่องเที่ยวสำคัญของประเทศเพื่อนบ้านเชื่อมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย โดยตั้งเป้าให้อาเซียนเป็น Single Destination ตัวอย่างเส้นทางระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สุรินทร์ – กัมพูชา,น่าน – สปป.ลาว, เชียงราย – สหภาพเมียนมา – และสปป.ลาว, กรุงเทพฯ – มาเลเซีย – และบรูไน,สงขลา – มาเลเซีย
“เครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ ASEAN Hub ประสบความสำเร็จเป็นแนวคิดความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวได้หลายประเทศในภูมิภาค ASEAN ผ่าน ASEAN Pass ซึ่งเป็นความร่วมมือของกลุ่มสายการบินพันธมิตรที่จะออกแพ็คเกจตั๋วเครื่องบิน เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเชื่อมต่อไปยังประเทศอาเซียนได้สะดวก สบาย ประหยัดมากยิ่งขึ้น และในแง่ของการใช้จ่าย มีแนวคิดการใช้จ่ายผ่าน Cross Border QR Payment เชื่อมโยงช่องทางการจ่ายเงินให้นักท่องเที่ยวสะดวกสบายในการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันประเทศที่สามารถใช้จ่ายผ่าน QR Code มี 8 ประเทศได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม ฮ่องกง ญี่ปุ่น และจีน”
กลยุทธ์ที่ห้า คือ World Class Event Hub นำ Event ระดับโลกมาสู่เมืองไทย ให้เมืองไทยเป็นศูนย์รวม WORLD CLASS EXPERIENCE เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ในการเป็นเจ้าภาพจัด EVENT เรามีการจัด EVENT ระดับโลกแล้ว และมีการเจรจา รวมถึงมีแผนจะจัด EVENT ขนาดใหญ่ อาทิ ที่มีการตกลงแล้ว ได้แก่ Summer Sonic, KAWS Arts, Moto GP, Volleyball World Championship Period 2025, Asian Indoor & Martial Arts Games Period 2024, SEA Games Period 2025, 74th FIFA Congress 2024, วันวิสาขบูชาโลก 2024, Maha Songkran2024, Amazing Muay Thai World Festival 2025, Michelin Guide Food Festival 2025, Loy Krathong Festival 2024, Vijit Chao Phraya,Amazing Thailand MarathonX World Athletics 2024 และ Thailand LPGA และที่อยู่ระหว่างการเจรจา Tomorrow land, Bangkok Art Biennale 2024, Formula E, Motocross 2025 อีกทั้ง มีแผนในอนาคต Formula 1 Pylon Air Racing, Tennis WTA 500, Formula 1 และ Cream fields ในช่วงสงกรานต์และลอยกระทง
“ทั้งหมดนี้คือ 5 กลยุทธ์ที่ประเทศไทยจะใช้ในการขับเคลื่อนสู่การเป็น “Tourism Hub” ประเทศไทยจะเป็น Destination ที่อยู่ในใจของนักท่องเที่ยว จะทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวมากขึ้น พำนักในประเทศไทยนานขึ้นและมีการใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นแน่นอนว่า ภารกิจนี้จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หากปราศจากความร่วมมือ ร่วมใจจากคนไทยทุกภาคส่วนประเทศไทยต้องเป็น “ที่หนึ่ง” ของการท่องเที่ยว “IGNITE Tourism Thailand”