กรมชลประทานระบุ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล โดยการผันน้ำจากแม่น้ำยวมมาเติมจะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกในฤดูแล้งกว่า 1 ล้านกว่าไร่ รวมถึงทำให้น้ำอุปโภค-บริโภคพื้นที่โครงการชลประทานกำแพงเพชรและเจ้าพระยาใหญ่มีเพียงพอ ยืนยัน ศึกษาผลกระทบด้านต่างๆ ก่อนก่อสร้างอย่างรอบคอบและมีแผนป้องกันแก้ไขและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว
นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทาน ได้เร่งศึกษาและออกแบบโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก โดยผันน้ำจากแม่น้ำยวมมาเติม ทั้งนี้ แม่น้ำยวมเป็นแม่น้ำภายในประเทศ ปากแม่น้ำอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนก่อนไหลลงสู่แม่น้ำสาละวิน มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ย 2,858 ล้านลูกบาศก์เมตร(ล้าน ลบ.ม.)ต่อปี กำหนดให้ผันน้ำเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนถึงมกราคมเท่านั้น ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำยวมมีปริมาณมากเกินกว่าความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ โดยน้ำที่ผันจะอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยประมาณ 1,795 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี การผันน้ำเติมสู่เขื่อนภูมิพล เพื่อใช้ในพื้นที่ที่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำ จึงเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับข้อห่วงใยของนักวิชาการที่ระบุว่า หากมีการผันน้ำจากแม่น้ำยวมมาแล้ว จะทำให้พันธุ์ปลาจากลุ่มน้ำสาละวินปนเปื้อนกับพันธุ์ปลาลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการปรับตัวและขยายพันธุ์ของปลา เนื่องจากลักษณะแต่ละลุ่มน้ำแตกต่างกัน นั้น กรมชลประทานได้ตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว จึงได้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIMP) โดยได้ออกแบบระบบป้องกันปลาจากแม่น้ำยวมและแม่น้ำสาละวินไม่ให้ข้ามไปยังอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล (ลุ่มน้ำเจ้าพระยา) และมีอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้ปลาเข้าใกล้หรือหลุดเข้าไปในสถานีสูบน้ำ ผ่านอุโมงค์ส่งน้ำไปยังลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้ นอกจากนี้ ยังจะก่อสร้างสถานีเพาะพันธุ์ปลา เพื่อศึกษาวิจัย อนุรักษ์ และเพาะพันธุ์ปลาที่เหมาะสมกับแม่น้ำยวม การส่งเสริมการเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาที่หายาก การลำเลียงปลาท้ายเขื่อนไปปล่อยบริเวณหน้าเขื่อน เช่น ปลาสะแงะ (ปลาตูหนา) ปลาคม (ปลาพลวง) ปลากดเสียม ปลากดหมู เพื่อให้ปลาสามารถขึ้นไปวางไข่ในพื้นที่ต้นน้ำได้ รวมทั้งการอบรมให้ความรู้ การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการประมงแก่ประชาชนที่อาศัยในบริเวณอ่างเก็บน้ำ ทั้งนี้ สำหรับแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIMP) ในส่วนของประมงใช้งบประมาณรวม 188.50 ล้านบาท โดยจะดำเนินการต่อเนื่องถึง 11 ปี
ส่วนลักษณะของโครงการก่อสร้างเขื่อนน้ำยวม จากผลการศึกษาความเหมาะสม จะสร้างเป็นเขื่อนหินดาดผิวคอนกรีตสูง 69.5 เมตร กั้นแม่น้ำยวม พื้นที่ผิวน้ำ 3.32 ตารางกิโลเมตร โดยผลประโยชน์ของโครงการนั้นจะสามารถเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกในฤดูแล้งได้ถึง 1,610,026 ไร่ บริเวณโครงการชลประทานกำแพงเพชรและลุ่มเจ้าพระยาใหญ่ เพิ่มน้ำอุปโภคบริโภคได้ประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เพิ่มพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำที่เขื่อนภูมิพลเฉลี่ย 417 ล้านหน่วยต่อปี และที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนน้ำยวมเฉลี่ย 46 ล้านหน่วยต่อปี
“โครงการเพิ่มน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพลใช้งบประมาณ 70,000 ล้านบาท จากผลการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ (EIRR) อยู่ที่ร้อยละ 11.19 ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่กำหนดให้โครงการลงทุนภาครัฐควรมีอัตราผลตอบแทนของโครงการอยู่ระหว่างร้อยละ 9 ถึง 12 จึงจะถือว่าโครงการฯมีความเหมาะสมในการลงทุน นอกจากนี้ โครงการฯนี้ยังเป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการชลประทานตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)อีกด้วย” นายเฉลิมเกียรติฯกล่าวในที่สุด
************************************
กรมชลประทาน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์