รมว.ศธ. ห่วง “น้ำกระท่อม” ระบาดในสถานศึกษา และคอนเทนต์เชิงลบของผู้เรียน แนะเน้นไวรัลสร้างสรรค์อย่างมีวิจารณญาณ กันก่อนแก้ ลดปัจจัยเสี่ยงในกลุ่มผู้เรียนโดยด่วน

24 มกราคม 2567 – พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีข้อห่วงใยในประเด็นน้ำกระท่อมระบาดในสถานศึกษา และประเด็นผู้เรียนทำคอนเทนต์เชิงอนาจาร หรือถูกหลอกให้ทำโดยขาดวิจารณญาณแล้วนำไปเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ในรูปแบบที่ผิด หวั่นจะเกิดปัญญาสุขภาพกายและสุขภาพจิต ขอความร่วมมือจากครู ผู้ปกครองและทุกภาคส่วนร่วมกันเป็นหูเป็นตา คอยแนะนำให้เยาวชนห่างไกลอบายมุข และทำคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์

รมว.ศธ. เปิดเผยว่า ขณะนี้ “น้ำกระท่อม” ได้ระบาดมากขึ้นในสถานศึกษา และในปัจจุบันใบกระท่อมก็ได้หาซื้อง่าย จุดจำหน่ายก็ใกล้เคียงสถานศึกษามากขึ้นจนดูเป็นเรื่องปกติ ด้วยเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเปราะบาง บางเรื่องอาจจะยังไม่มีวิจารณญาณที่มากพอ สิ่งที่น่ากังวลคือเด็กอาจนำมาผสมกับสารเสพติดชนิดอื่น ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและหากใช้ในชีวิตประจำวันเป็นระยะเวลานานอาจทำลายประสาทจนส่งผลต่อสุขภาพจิตได้

ฝากถึงศึกษาธิการภาคและศึกษาธิการจังหวัด เน้นย้ำสถานศึกษาในพื้นที่ดูแลเรื่องนี้อย่างเข้มงวด กำหนดระเบียบกฎเกณฑ์เป็นข้อห้ามข้อบังคับได้เลยยิ่งดี ในการห้ามการดื่มน้ำต้มใบกระท่อมในสถานศึกษา รวมทั้งการให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้เรียนอย่างเร่งด่วนว่า “น้ำกระท่อมเป็นสิ่งเสพติด” อาจทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้แก่ครูผู้สอน เพื่อสร้างความเข้าใจกับผู้เรียนถึงพิษภัยของกระท่อมไม่ต่างจากสารเสพติดชนิดอื่นที่รุนแรง

สำหรับอีกเรื่องที่น่าห่วงใยไม่แพ้กันคือประเด็นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมีข่าวในกระแสโซเชียลเรื่อง ครีเอเตอร์นำเด็กสาวอายุ 16 ปี ร่วมประเวณีและกระทำอนาจาร โดยทำการบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวแบบไม่ปิดบังใบหน้า แล้วส่งต่อกลุ่มลับในแพลตฟอร์มออนไลน์ X (Twitter) และ OnlyFans เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการขายสื่อลามกเด็ก โดยที่เด็กไม่รู้ว่าคลิปของตนถูกนำเอาไปขายในโลกออนไลน์ ซึ่งยังมีอีกหลายกรณีที่ถูกกระทำเช่นเดียวกัน บางครั้งยังมีการนำเงินมาจูงใจเด็กด้วย และความที่เด็กยังขาดวุฒิภาวะและวิจารณญาณที่มากพอว่าสิ่งที่ทำถูกหรือผิด หรือไม่ได้คิดไตร่ตรองถึงผลกระทบที่จะตามมาอย่างรอบคอบ อาจแค่คิดว่าทำสิ่งง่าย ๆ แล้วได้เงินมา แต่ภาพลามกอนาจารจะอยู่ในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็วเกิดคาด

จากประเด็นข้างต้นอยากฝากถึงครูและผู้ปกครอง ให้คอยสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน คอยพูดคุยให้คำปรึกษาอย่างอบอุ่นเสมอ เพราะหากเด็กไม่ได้รับการใส่ใจที่มากพออาจหาที่พึ่งทางใจในทางที่ผิดก็เป็นได้ ที่สำคัญควรสร้างการรับรู้ความเข้าใจแก่ผู้เรียนถึงเรื่องการทำคอนเทนต์อย่างสร้างสรรค์ เพราะหากทำออกมาได้น่าสนใจก็เกิดรายได้ด้วยเช่นกัน และยังเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนเยาวชนได้ทำตามในทางที่ดีอีกด้วย หากครู ผู้ปกครอง และเพื่อนของผู้เรียนร่วมกันแนะนำในทางที่ดี คอยป้องปรามไม่ให้เด็กหลงผิดและตัดไฟแต่ต้นลม ก็จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ลดน้อยลง

ทั้งนี้ หากหากพบการกระทำดังกล่าวสามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้ทันทีที่ “ศูนย์ความปลอดภัย กระทรวงศึกษาธิการ” (MOE Safety Center) 4 ช่องทาง ดังนี้ แอปพลิเคชัน MOE Safety Center, เว็บไซต์ http://www.MOESafetyCenter.com, LINE @MOESafetyCenter และ Call Center 0-2126-6565 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ติดตามข้อมูลและเร่งประสานงานช่วยเหลือตลอดเวลา

มาร่วมกันทำสถานศึกษาสีขาวให้เป็นพื้นที่ปลอดอบายมุข คอยเฝ้าระวังการใช้สารเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชน รวมทั้งปลอดความรุนแรง การกลั่นแกล้งกันทั้งในและนอกสถานศึกษา สร้างค่านิยม และความตระหนักรู้ให้ลูกหลานของเรา และร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงมาตรการเชิงรุกโดยทั่วกันทุกพื้นที่ เพราะผู้เรียนคือทรัพยากรสำคัญที่จะเติบโตไปเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคมในอนาคต ศธ. จึงต้องร่วมมือในการกำจัดปัญหาที่กระทบต่อการศึกษา ต้องดูแลทุกมิติ

#คอนเทนต์สร้างสรรค์ #สื่อสร้างสรรค์ #น้ำกระท่อม #MoeSafetyCenter #ความปลอดภัยในสถานศึกษา #เรียนดีมีความสุข #กระทรวงศึกษาธิการ