สดช. ดัน Soft power ไทย จัดแข่ง Hackulture 2023 “illuminate Thai อัปเวลแฟชั่นไทยด้วยดิจิทัล” ชิงเงินรางวัลกว่า 4 แสนบาท

สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล หรือ “Digital Cultural Heritage ระยะที่ 2” พร้อมรายละเอียดกิจกรรมแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ “Hackulture 2023 illuminate Thai อัปเวลแฟชั่นไทย ด้วยดิจิทัล” เชิญชวนเยาวชนและประชาชนทั่วไป ประชันไอเดียช่วยกันแฮกแฟชั่นไทยด้วยวัฒนธรรมและดิจิทัลคอนเทนต์ ปลุกพลัง Soft Power ไทย ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 400,000 บาท

วันที่ 11 สิงหาคม 2566 นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานเปิดตัวงานแถลงข่าว “โครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล” หรือ “Digital Cultural Heritage ระยะที่ 2” กิจกรรมแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ “Hackulture 2023 illuminate Thai อัปเวลแฟชั่นไทย ด้วยดิจิทัล” เพื่อเชิญชวนเยาวชนและประชาชนทั่วไป ประชันไอเดียช่วยกันแฮกแฟชั่นไทยด้วยวัฒนธรรมและดิจิทัลคอนเทนต์ ปลุกพลัง Soft Power ไทย ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 400,000 บาท พร้อมสร้างโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อผู้บริหารองค์กรทางด้านดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทย โดยทีมที่ผ่านรอบคัดเลือกทุกทีมจะได้รับทุน “Smart Skills” หลักสูตร E-Learning เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับจากบริษัทดิจิทัลชั้นนำระดับโลก ซึ่งมอบให้กับสมาชิกทุกคนที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก โดยมีนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ และสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วม ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ

นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของกิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีประชันความสามารถของมนุษย์ยุคดิจิทัลให้ใช้ทักษะความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ ในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม และยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ประกอบไปด้วย สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย เครื่องหนัง เครื่องประดับและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่นไทย ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลและดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการสร้าง Soft Power ที่สามารถสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของชาติอย่างยั่งยืน

“โดยในปีนี้ สดช. เลือก 1 ใน 5F (Food Film Fashion Fighting และ Festival) ของ Soft Power ไทย นั่นคือ F-Fashion มาเป็นธีมแข่งขัน Hackulture 2023 illuminate Thai อัปเวลแฟชั่นไทย ด้วยดิจิทัล จึงอยากเชิญชวนเยาวชนและประชาชนทั่วไป ร่วมประชันไอเดียช่วยกันแฮกแฟชั่นไทยด้วยวัฒนธรรมและดิจิทัลคอนเทนต์ ปลุกพลัง Soft Power ไทย ให้ดังไกลระดับโลก เพราะแฟชั่นไทยมีเสน่ห์ มีเรื่องเล่า มีเรื่องราวและแฝงด้วยวัฒนธรรมที่น่าสนใจสามารถนำสตอรี่ของแฟชั่นไทยเหล่านั้นมาสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของชาติได้อย่างยั่งยืน โดยตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้แฟชั่นไทยดังไกลระดับโลกได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางก็คือดิจิทัลนั่นเอง” ภุชพงค์ฯ กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับการแข่งขัน แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับนักเรียน นิสิต นักศึกษา (มัธยม/ปวช./ปวส./ปริญญาตรี) และระดับประชาชนทั่วไป (ปริญญาโท/ปริญญาเอก) โดยรวมกลุ่มจำนวน 4 – 6 คน ร่วมประชันไอเดียและสร้างสรรค์ผลงานใน 2 สาขา ได้แก่ 1) สาขาเทคโนโลยีดิจิทัล : คิดค้น สร้างสรรค์นวัตกรรมหรือปรับปรุงชิ้นงานกระบวนการที่มีอยู่เดิมให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น สามารถสร้างความสะดวกสบายหรือเพิ่มมูลค่าเชิงการตลาด เช่น Application Game นวัตกรรมที่ใช้ใน Platform ที่มีอยู่เดิม และ AR VR นวัตกรรมที่ใช้การ Coding เทคโนโลยีบล็อกเชน และอื่น ๆ  2) สาขาสื่อมัลติมีเดีย : สร้างสรรค์ชิ้นงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเดิม ๆ เพื่อนำไปสู่การสร้างกรอบความคิดใหม่ นำเสนอผลงานในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง อาทิ แอนิเมชั่น โมชันกราฟิก 2D 3D Motion ภาพยนตร์สั้น ที่มีการใช้ Computer Graphic เป็นองค์ประกอบในการนำเสนอ และอื่น ๆ โดยเปิดรับผลงานตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม- 30 กันยายน 2566 เบอร์โทรศัพท์ 099-4946664 สามารถสมัครได้ทาง www.hackulture.com สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/dchthackulture dcht2@event.hackulture.com

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมให้อยู่ในรูปแบบเนื้อหาดิจิทัล หรือ Digital Content อย่างสร้างสรรค์ ถือเป็นแนวทางหนึ่งในการธำรงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืน และเข้าถึงได้อย่างกว้างขวาง สดช. จึงจัดทำโครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล หรือ Digital Cultural Heritage ขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะที่ 2 แล้ว นอกจากจัดแข่งขัน Hackathon ก็ยังมีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการโดยผ่านกระบวนการห้องปฏิบัติการนโยบายสาธารณะ หรือ Policy Lab เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ที่เกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมแต่ละด้าน มีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายสาธารณะเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งเจ้าของมรดกวัฒนธรรม เจ้าของแพลตฟอร์ม บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทุกภาคส่วนยอมรับว่า Cultural Content มีความสำคัญมากๆ และเป็นรากฐานของ Soft Power ไทย ซึ่งต้องถูกนำมาใช้และสร้างรายได้เข้าประเทศ ผ่านยุทธศาสตร์ 5 แนวทาง ได้แก่ ศึกษารวบรวม อนุรักษ์ พัฒนาทักษะ ต่อยอด และเผยแพร่เนื้อหาวัฒนธรรมด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี