กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยข้อควรรู้ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ปี 66 คาดจะมีผู้บริโภคชาวอเมริกันกว่า 265 ล้านคนซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ยอดขายจะสูงถึง 1.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ จะมีสัดส่วนมากสุด ตามด้วยเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เผยสินค้าสุขภาพ ดูแลผิว อาหารและเครื่องดื่ม จะมาแรง แนะผู้ประกอบการไทยหาโอกาสใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพิ่มโอกาสขายสินค้าเจาะสหรัฐฯ
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ และให้รายงานผลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับข้อมูลจากนางสาวเกษสุรีย์ วิจารณกรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงข้อควรรู้ตลาด
อีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ปี 2566 และโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ผ่านช่องทางออนไลน์
โดยทูตพาณิชย์ได้ให้ข้อมูลแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ปี 2566 ว่า จะมีผู้บริโภคชาวอเมริกันกว่า 265 ล้านคน ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือคิดเป็น สัดส่วน 20.8% ของยอดการค้าปลีกทั้งหมดในสหรัฐฯ และคาดว่าสัดส่วนดังกล่าว จะเพิ่มเป็น 23% ภายในปี 2568 และ Insider Intelligence บริษัทให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ ยังคาดว่ายอดขายของตลาดอีคอมเมิร์ซจะสูงถึง 1.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับเทรนด์ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ที่ผู้ประกอบการไทยควรรู้ ได้แก่ สินค้าที่คาดว่าจะมีการเติบโตมากที่สุดและมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุด คือ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ สัดส่วนยอดขาย 18.7% เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 15.7% สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 11.3% ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะโตมากที่สุดในช่วง 4 ปีข้างหน้า คือ สินค้าเกี่ยวข้องสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่า สัดส่วนยอดขายของสินค้าดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 13.3% และ 10.5% ตามลําดับในปี 2570
ส่วนพฤติกรรมชาวอเมริกันที่มีการสำรวจโดย ClearSale พบว่า เพศชายมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซมากกว่าเพศหญิง และผู้บริโภคชายอายุ 18-34 ปี กว่า 40% มีแนวโน้มซื้อสินค้าทุกประเภททางออนไลน์ แต่ผู้หญิงมีเพียง 33% ที่จะซื้อ โดยช่องทางอีคอมเมิร์ซชั้นนำ ยังคงเป็น Amazon , Walmart , Apple และ eBay แต่หมวดหมู่เจาะจงจะได้รับความนิยมและโตมากขึ้น เช่น Carvana ซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขายออนไลน์รถยนต์มือสอง และเว็บไซต์ Chewy ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทุกประเภท
ทางด้านการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย มีชาวอเมริกันสูงถึง 96.9 ล้านคนที่ซื้อ ยอดขายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 992 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าปี 2566 จะเพิ่มเป็น 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ และการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยปี 2565 มียอดซื้อถึง 43,100 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่า
ปี 2566 จะเพิ่มเป็น 51,100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยผลสำรวจพบว่า Amazon เป็นแอปพลิเคชันบนมือถือที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ ตามด้วย Shein เป็นอันดับ 2 และแอปพลิเคชันที่เป็นนิยมรองลงมา ได้แก่ Walmart , Fetch Shop , Etsy , Nike และ Temu
“ตลาดอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ เป็นตลาดที่กำลังเติบโตและมีศักยภาพสูงในอนาคต แม้ว่าในปัจจุบันกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมซื้อผ่านทางออนไลน์ยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มเสื้อผ้า ไลฟ์สไตล์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่คาดการณ์ว่าส่วนแบ่งตลาดของสินค้าอื่น ๆ เช่น สินค้าสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม จะเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรมองหาโอกาสในการเจาะตลาดสหรัฐฯ ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับสินค้าและอาจเพิ่มการนำเสนอและผลักดันสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อแนะนำและทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดสหรัฐฯ โดยอาจเพิ่มกลยุทธ์ในการนำเสนอสินค้าที่เน้นกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคสำคัญในการเจาะตลาดผู้บริโภคสหรัฐฯ” นายภูสิตกล่าว
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169