สพฉ.เตือนประชาชนให้ระวังสัตว์มิพิษกัดในช่วงหน้าฝน

สพฉ.เตือนประชาชนให้ระวังสัตว์มิพิษกัดในช่วงหน้าฝน หลังพบสถิตืเดือนพ.ค.ปี 2561ที่ผ่านมา มีผู้ถูกสัตว์มีพิษกัดมากถึง 1,578 คน ระบุสัตว์ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ งูพิษ และ  ตะขาบ  พร้อมแนะวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นผู้ถูกงูกัด ห้ามขันชะเนาะ ห้ามใช้ปากดูดพิษ ห้ามให้ผู้ได้รับพิษกินยาที่มีส่วนผสมของแอสไพรินเพราะจะทำให้พิษของงูทำงานเร็วยิ่งขึ้น ส่วนการดูแลผู้ได้รับพิษจากตะขาบกัดให้ล้างแผลให้สะอาด กินยาพาราแก้ปวด และหากผู้ป่วยทนอาการปวดไม่ไหว แน่นหน้าอก หอบเหนื่อย ให้รีบโทรแจ้งสายฉุกเฉิน 1669 เพื่อนำผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลโดยด่วน

สืบเนื่องจากเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนนี้เข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการ โดยกรมอุตินิยมวิทยาได้ออกคำเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังตนเองและเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับพายุฝนที่กำลังจะเกิดขึ้น ล่าสุดสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้ออกมาเตือนประชาชนให้ระมัดระวังสัตว์มีพิษที่จะมีกับพายุฝนด้วยเช่นกัน

โดยเรืออากาศเอกนายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนนี้นอกจากประชาชนจะเจ็บป่วยฉุกเฉินจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยทั้งอากาศร้อนและพายุฝน แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ตนมีความเป็นห่วงประชาชนชน คือการเจ็บป่วยฉุกเฉินถูกกัดหรือต่อยจากสัตว์มีพิษที่มากับพายุฝน ซึ่งจากสถิติการรับแจ้งเหตุอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินจากการโดนสัตว์มีพิษกัดหรือต่อยในช่วงเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2561ที่ผ่านมา มีประชาชนแจ้งเหตุมากถึง 1,578 ราย  วันนี้ตนจึงอยากฝากเตือนประชาชนให้ระมัดระวังสัตว์มีพิษที่จะมากับฝน โดยสัตว์มีพิษที่ประชาชนควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ งูพิษ   ตะขาบ  โดยงูพิษเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุด  จะแฝงตัวอยู่ในพื้นที่รกและชื้นแฉะ ทั้งนี้ข้อมูลจากสถานเสาวภา สภากาชาดไทย  ระบุว่า งูพิษที่พบมากที่สุดในประเทศไทย คือ

1.งูพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ได้แก่ งูเห่าไทย งูเห่าพ่นพิษสยาม  งูจงอาง งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา โดยพิษของงูจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเป็นอัมพาต จะเริ่มจากกล้ามเนื้อมัดเล็ก ไปจนถึง กล้ามเนื้อมัดใหญ่และสุดท้ายจะเป็นทั้งตัว อาการแรกเริ่ม คือ หนังตาตก ผู้ป่วยลืมตาไม่ขึ้น ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดๆ ว่าผู้ป่วยง่วงนอน ต่อมาจะเริ่มกลืนน้ำลายลำบาก พูดอ้อแอ้ และหยุดหายใจ เสียชีวิต

2.งูพิษที่มีผลต่อระบบเลือด ได้แก่ งูแมวเซา ซึ่งหากถูกกัด จะมีอาการปวดบวมบริเวณรอบแผลเล็กน้อย  และงูกะปะ หากถูกกัดจะพบตุ่มน้ำเลือด  และมีเลือดออกจากแผลที่ถูกกัด ส่วนกรณีของงูเขียวหางไหม้ จะมีอาการบวมบริเวณที่ถูกกัด และลามขึ้นค่อนข้างมาก เช่น ถูกกัดบริเวณนิ้วมือ แต่บวมทั้งแขน นอกจากนี้จะมีอาการช้ำเลือด  และ พิษของงูจะไปทำให้เลือดในร่างกายไม่แข็งตัว เลือดออกไม่หยุด  หรือมีเลือดออกในทางเดินอาหาร เลือดออกในสมอง  ปัสสาวะมีเลือดปน เลือดออกตามไรฟัน  หรือพบภาวะไตวายเฉียบพลันร่วมด้วยได้ และ 3.งูพิษที่มีผลทำลายกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเล  โดยจะทำให้ปวดกล้ามเนื้อทั่วตัว ปัสสาวะมีสีเข้มจนถึงสีดำ ปัสสาวะออกน้อยเนื่องจากมีภาวะไตวายเฉียบพลัน อาจมีหัวใจหยุดเต้นจากภาวะโพแทสเซียมคั่งในเลือด

เรืออากาศเอกนายแพทย์อัจฉริยะกล่าวว่า  หากท่านพบเห็นผู้ที่ถูกงูพิษเหล่านี้กัด เมื่อตรวจสอบแล้วว่าเป็นงูพิษ ให้รีบโทรแจ้งสายฉุกเฉิน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ จากนั้นให้ทำการปฐมพยาบาลตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่  โดยต้องรีบล้างแผลให้สะอาด ห้ามกรีดบาดแผล หรือดูดเลือดออกจากบาดแผลเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความเข้าใจผิดและอาจจะทำให้ผู้ที่เข้าช่วยเหลือจะได้รับพิษไปด้วยหากมีบาดแผลในช่องปาก นอกจากนี้ห้ามกินยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน เพราะจะไปเสริมฤทธิ์ให้พิษงูทำงานเร็วยิ่งขึ้น   และควรจัดให้ผู้ที่ถูกงูพิษกัดอยู่ในท่าที่สบายนอนนิ่งๆ และเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด ใช้ผ้ายืดหรือหาผ้าสะอาดพันรอบอวัยวะส่วนที่ถูกกัดให้กระชับ โดยพันจากส่วนปลายขึ้นมาจนสุดบริเวณอวัยวะถูกกัด แล้วทำการดามด้วยของแข็งเพื่อลดการเคลื่อนไหวของอวัยวะบริเวณที่ถูกกัด แล้วรีบนำส่งสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ที่สำคัญไม่ควรปฐมพยาบาลด้วยการขันชะเนาะ เพราะหากทำผิดวิธีจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีอันตรายมากยิ่งขึ้น และหากผู้ป่วยฉุกเฉินหยุดหายใจจะต้องรีบทำการฟื้นคืนชีพ หรือ CPR ทันที

เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีสัตว์มีพิษอีกหนึ่งชนิดที่จะพบบ่อยในช่วงหน้าฝนด้วยเช่นกันคือ ตะขาบ ซึ่งหากถูกตะขาบกัดให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการล้างแผลที่ถูกตะขาบกัดให้สะอาด กินยาพาราเซตามอลแก้ปวด ให้ยาหม่องทาบางๆเบาๆ ไม่กดนวด ตรงบริเวณที่ถูกตะขาบกัด และหากมีอาการปวดมากให้ใช้น้ำอุ่นประคบที่แผลประมาณ 20 นาที และหากท่านปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วอาการยังมีอาการปวดอย่างรุนแรง แน่นหน้าอก หรือมีอาการหอบเหนื่อยให้รีบไปสถานพยาบาลเพื่อพบแพทย์โดยด่วน  อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะทำให้เรารอดพ้นจากสัตว์มีพิษที่จะมากับฝนได้นั้น เราต้องหมั่นสังเกตพื้นที่บริเวณรอบบ้านต้องทำความสะอาดไม่ให้บ้านรกรุงรังซึ่งจะเหมาะกับการอยู่อาศัยของสัตว์มีพิษเหล่านี้ นอกจากนี้แล้วควรสังเกตตามมุมอับของบ้าน และบริเวณที่นอน ก่อนสวมใส่เสื้อผ้าก็ควรสลัดก่อนใส่ทุกครั้งเพื่อป้องกันสัตว์มิพิษเหล่านี้ที่อาจซ่อนตัวอยู่ในเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม  และหากจำเป็นต้องเดินในพื้นที่รกชื้นควรใส่รองเท้าหุ้มส้น  เตรียมไฟฉาย ไว้ส่องสว่าง  และเตรียมไม้ไว้ตีไล่สัตว์มีพิษออกไปด้วย

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////