กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เผยผลสำรวจตลาดเครื่องแต่งกายชาวมุสลิมสุดบูม แบรนด์ดังระดับโลกกระโดดขึ้นเวที ผลิตสินค้าป้อนเต็มที่ พร้อมโปรโมตไม่ยั้ง ระบุตลาดเยอรมนีก็เติบโตสูง ตามจำนวนประชากรมุสลิมที่เพิ่มขึ้น แนะผู้ส่งออกไทยเจาะตลาด เหตุสินค้ามีคุณภาพ มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ แต่ต้องผลิตให้ตรงตามที่กฎระเบียบกำหนด
นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับราบงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต แจ้งถึงผลการสำรวจแนวโน้มตลาดสินค้าเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายสำหรับชาวมุสลิม (Modest Fashion) ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดรายงานเศรษฐกิจ State of the Global Islamic Economy Report 2017/18 โดย Thomson Reuters ได้ระบุผลสำรวจว่าปัจจุบันชาวมุสลิมทั่วโลกได้ใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายเป็นมูลค่าสูงถึง 2.54 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2559 เพิ่มขึ้น 4.2% และคาดว่าในปี 2560 จะเพิ่มขึ้นสูงถึง 7% และในปี 2565 มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.73 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าตลาดมีแนวโน้มขยายตัวมาก
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ตลาดเครื่องแต่งกายชาวมุสลิมเติบโต มาจากการที่แบรนด์ดังระดับโลกได้หันมาให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าป้อนตลาดเพิ่มมากขึ้น เช่น Dolce & Gabbana , H&M , Nike , Hummel , Capsters ที่มีการเปิดตัวฮีญาบและเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย และมีการจัดแฟชั่นโชว์สำหรับเสื้อผ้ามุสลิมโดยเฉพาะที่ลอนดอนแฟชั่นวีค ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก รวมทั้งยังมีการเปิดเว็บไซต์สำหรับขายสินค้าแฟชั่นมุสลิมโดยเฉพาะเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
นางจันทิรากล่าวว่า จากแนวโน้มตลาดที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น กรมฯ ได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ทำการสำรวจภาวะและแนวโน้มตลาด ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานจากทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ที่เยอรมนีว่าตลาดมีการเติบโตเพิ่มขึ้นจริง โดยในหลายๆ เมืองของเยอรมนี เริ่มมีร้านขายเสื้อผ้าสำหรับชาวมุสลิมโดยเฉพาะเพิ่มมากขึ้น ในออนไลน์ก็มีมากขึ้น และร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ ก็หันมาผลิตและวางขายเสื้อผ้าสำหรับชาวมุสลิมเพิ่มขึ้น ตามจำนวนประชากรชาวมุสลิมที่เพิ่มขึ้น
สำหรับโอกาสของผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยที่ต้องการจะเจาะตลาดเสื้อผ้าสำหรับชาวมุสลิมทั้งในตลาดเยอรมนีและตลาดมุสลิมทั่วโลก จะต้องผลิตสินค้าให้ตรงตามหลักความเชื่อ เช่น เสื้อผ้าไม่รัดรูปจนเกินไป ไม่มีลวดลายหรือสีฉูดฉาดมากนัก และยังมีการแต่งตัวตามฤดูกาล ซึ่งจะต้องผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการ และต้องให้ความสำคัญกับการตามกระแสแฟชั่นให้ทัน เพราะปัจจุบันนี้ ชาวมุสลิมรุ่นใหม่แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าตามขนบธรรมเนียม แต่ก็ตามเทรนด์แฟชั่นสมัยใหม่ โดยเรียกแนวการแต่งกายนี้ว่า Hijabistas เป็นการผสมคำระหว่าง Hijab กับ Nista ที่มาจากคำว่า Fashionista
โดยสินค้าไทยที่มีโอกาสในการส่งออกไปยังเยอรมนีและประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรปที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่ เช่น ผ้าฮีญาบ เครื่องแต่งกายของชาวมุสลิมชายและหญิง โดยต้องติดตามและศึกษาทิศทางการออกแบบเสื้อผ้า แฟชั่น และความนิยมในตลาดเสื้อผ้าชาวมุสลิมอยู่เสมอ และในการส่งออก ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎระเบียบการค้าที่กำหนด เช่น การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับพิธีการทางศุลกากร และการใช้สิทธิ เสียภาษีนำเข้าในอัตราต่ำ โดยเสื้อผ้าสิ่งทอจากไทย สามารถส่งไปยังเยอรมนีและยุโรปได้เสรี เสียภาษีนำเข้าในอัตราระหว่าง 0-12% และต้องแจ้งส่วนผสมของวัตถุดิบให้ถูกต้องและชัดเจนเป็นภาษาเยอรมัน รวมทั้งต้อง ไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย เป็นต้น