สคบ. เรียกเงินคืนให้ผู้บริโภคกว่า ๑๑ ล้านบาท

วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอุฬาร จิ๋วเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานในพิธีมอบเงินคืนให้แก่ผู้บริโภค จำนวน ๓๖ ราย รวมเป็นเงินกว่า ๑๑ ล้านบาท ณ ห้องประชุม ๕ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุดซึ่งตามบันทึกข้อตกลงในการซื้อขายห้องชุด ระบุว่า “ผู้จะซื้อมีสิทธิในการจอดรถยนต์ภายในทรัพย์ส่วนกลางแบบไม่ระบุตำแหน่ง จำนวน ๑ คัน และแบบระบุตำแหน่ง จำนวน ๑ คัน ตามที่นิติบุคคลอาคารชุดจะกำหนด” แต่ผู้บริโภคไม่สามารถใช้งานพื้นที่ดังกล่าวได้

สืบเนื่องจาก คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติมอบหมายให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคดำเนินคดีแพ่งแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่ง เพื่อบังคับให้บริษัทฯ ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้บริโภคและพวกรวมจำนวน ๓๖ คน เป็นเงินคนละ ๖๖๔,๒๓๕ บาท (หกแสนหกหมื่นสี่พันสองร้อยสามสิบห้าบาทถ้วน) รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๒๕,๒๕๐,๙๓๐ บาท (ยี่สิบห้าล้านสองแสนห้าหมื่นเก้าร้อยสามสิบบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โจทก์ ได้ส่งเรื่องร้องทุกข์ไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อดำเนินการตามมติคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคดังกล่าว

ต่อมาสำนักงานคดีแพ่งกรุงเทพใต้ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้แจ้งผลคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้อง สคบ. จึงแจ้งไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้พนักงานอัยการในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคอุทธรณ์คำพิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โดยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่าให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่ผู้บริโภครายละ ๒๕๐,๐๐๐ บาท รวม ๓๖ ราย เป็นเงิน ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป จนถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ และอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ต่อมาจำเลยได้ยื่นฎีกา ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกายกคำร้องและไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย จำเลยจึงได้นำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล และเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๕ สคบ. ได้ไปยื่นคำแถลงต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อขอให้ศาลคำนวณยอดหนี้ และขอรับเงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำนวน ๑๑,๒๐๑,๙๑๗,๘๑ บาท (สิบเอ็ดล้านสองแสนหนึ่งพันเก้าร้อยสิบเจ็ดบาทแปดสิบเอ็ดสตางค์)