กระทรวงแรงงาน ซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟโดยจำลองสถานการณ์จริง ประจำปี 2562 มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ดับเพลิง การอพยพคนและการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหากเกิดเหตุ เพลิงไหม้ พร้อมย้ำให้สถานประกอบกิจการต้องปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัย
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการทำงาน โดยเฉพาะในสถานประกอบกิจการที่มีอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่ และมีคนทำงานจำนวนมาก หากไม่มีการเตรียมการที่ดีเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียมากมายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น การป้องกันมิให้เกิดเหตุสามารถทำได้ด้วยการปฏิบัติตามกฎหมายทั้งในเรื่องของการประเมินความเสี่ยง การตรวจสอบซ่อมแซมอุปกรณ์ การฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟอย่างสม่ำเสมอ กระทรวงแรงงาน เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 จึงได้จัดให้มีการฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ โดยการจำลองสถานการณ์จริงเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดับเพลิงด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการฝึกซ้อมหนีไฟให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน รวมทั้งผู้ที่มาติดต่อราชการ และเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรหากเกิดเหตุเพลิงไหม้จริง ตลอดจนเป็นแบบอย่างให้กับสถานประกอบกิจการ รัฐวิสาหกิจ สถานศึกษา และหน่วยงานราชการอื่น ๆ
นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ได้กำหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างทุกคนฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟพร้อมกัน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง พระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้มีผลบังคับใช้กับทุกสถานประกอบกิจการ จึงขอให้สถานประกอบกิจการและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ถือปฏิบัติฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟให้แก่บุคลากรในองค์กรของท่าน และหากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษจำคุกไม่เกิน หนึ่งปีหรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากสถานประกอบกิจการหรือหน่วยงานใดยังไม่มีความพร้อม สามารถประสานมายังกระทรวงแรงงาน เพื่อขอคำแนะนำได้ โดยสามารถติดต่อ ได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และ10 พื้นที่ในกรุงเทพมหานคร หรือกองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ส่วนแยกตลิ่งชัน สำหรับหน่วยงานราชการทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ขอให้นำแนวทางการดำเนินการดังกล่าวไปใช้ในการกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยในหน่วยงานตนเอง ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและ ผู้ที่มาติดต่อราชการ ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand ต่อไป
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –