กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เร่งผลักดัน ส่งเสริม ให้ความรู้และพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม SMEs OTOP Organic Halal ฯลฯ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ พัฒนาสินค้าให้ตรงความต้องการของผู้ซื้อ และสามารถจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ก่อนผลักดันสู่การขายสินค้าใน e-Marketplace ที่มีชื่อเสียง รวมถึงสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ทั่วประเทศ พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างฐานการเติบโตที่ยั่งยืน
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า ในยุคการตลาด 4.0 เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ การซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กในระดับท้องถิ่น ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด คือ คนใช้เวลากับ Mobile Internet มากขึ้น การพัฒนาของ e-Payment และการพัฒนาด้าน Logistic ดังนั้น การทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องมีทั้งความรู้และความเข้าใจในเรื่องของเทคนิคการตลาด รู้จักเครื่องมือที่จะช่วยประหยัดต้นทุน ประหยัดเวลา การมีพาร์ทเนอร์ที่ดี จึงถือเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จ
จากแนวทางของรัฐบาลที่มุ่งยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีและธุรกิจชุมชนในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชิงพาณิชย์และระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ มาช่วยพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ดังนั้น การจัดหาทางแก้ปัญหาที่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจออนไลน์ในยุคดิจิทัล คือ การคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นหลัก วิเคราะห์ทำความเข้าใจว่าจะเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างไร และมอบประสบการณ์แก่ผู้บริโภคในช่องทางดิจิทัลให้ดีมากยิ่งขึ้น
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กำหนดแนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.แผนพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจทั่วประเทศ จำนวน 1,000 ราย ในลักษณะศูนย์รวม e-Commerce เคลื่อนที่ทั่วไทย (Local Online Mobile Hub) ในรูปแบบ Academic Event โดยจะเริ่มกิจกรรมในเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2562
2.แผนสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างฐานการเติบโตที่ยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ อาทิ การจัดกิจกรรมเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อส่งเสริมการตลาดธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ระหว่างผู้ผลิต ผู้แทนจำหน่าย ค้าส่ง ค้าปลีก และผู้บริโภค การให้ความรู้ในการบริหารจัดการการสนับสนุนด้านทรัพยากรและเงินทุน การจัดกิจกรรมคัดสรรผลิตภัณฑ์ OTOP Select เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ และต่อยอดสร้างช่องทางการตลาด เป็นต้น
และ 3. การพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ดิจิทัลเพื่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และโลจิสติกส์สมัยใหม่ โดยการคัดเลือกและพัฒนาชุมชนในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัด (อุดรธานี นครราชสีมา สุพรรณบุรี พัทลุง และเชียงราย) เพื่อผลักดันสินค้าชุมชนเข้าสู่ระบบการค้าออนไลน์ตามแนวคิดพื้นที่ชนบทในชุมชนที่ห่างไกล ตามโมเดลหมู่บ้านเถาเป่า (Taobao Village) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตลอดจนพัฒนาให้ผู้ประกอบธุรกิจใช้ e-Commerce เป็นช่องทางในการขยายตลาด และขายสินค้าใน e-Marketplace ที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีระบบการขนส่ง และระบบการชำระเงินที่มีความน่าเชื่อถือ
อธิบดี กล่าวทิ้งท้ายว่า “การตลาดยุคปัจจุบันเป็นยุคของ Social Media Marketing ผู้ประกอบธุรกิจต้องรู้จักพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา การมีกลยุทธ์ในการทำตลาดที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ รวมถึงต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลของลูกค้าในระบบการตลาดที่ทำเป็นอัตโนมัติ เพื่อต่อยอดความสำเร็จด้วยรูปแบบการตลาดที่ตอบโจทย์โดนใจผู้บริโภคยุคใหม่ให้ได้ ยุค Marketing Evolution for People”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สายด่วน 1570, โทรศัพท์หมายเลข 0 2547 5951, e-Mail : promotion@dbd.go.th และ www.dbd.go.th