วันที่ 11 พฤษภาคม 2561 นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 รองโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ส่งมอบเงินของผู้เสียหายบางส่วนที่สามารถยับยั้งการถอนของมิจฉาชีพได้ จำนวนเงิน 534,030 บาท มอบแด่พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ดำเนินการบรรเทาความเสียหายให้กับประชาชน 4 ราย ที่ได้รับความเดือดร้อน
ซึ่งก่อนหน้าได้ส่งมอบเงินของผู้เสียหายที่สามารถยับยั้งการถอนจากมิจฉาชีพแล้ว จำนวน 73 ราย รวมเป็นเงิน 11,813,256.21 บาท และในวันนี้ (11 พ.ค.61) ได้ส่งมอบเงินของผู้เสียหายที่สามารถยับยั้งการถอนจากมิจฉาชีพ จำนวน 4 ราย จำนวนเงิน 534,030 บาท รวมส่งมอบเงินคืนผู้เสียหายไปแล้วทั้งสิ้น 77 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,347,286.21 บาท
สำหรับสถิติการรับเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ปปง. มีผู้แจ้งผ่านสายด่วน ปปง. 1710 ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 จนถึงปัจจุบัน (11 พ.ค.61) มีผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงิน จำนวน 351 ราย เหตุเกิดแล้วรีบแจ้ง 186 ราย เหตุเกิดแล้วแจ้งภายหลัง 165 ราย รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 146,007,033.86 บาท สามารถยับยั้งและช่วยเหลือได้จำนวน 83 ราย มูลค่ารวม 35,332,615.50 บาท
นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแจ้งเตือน สำหรับพี่น้องประชาชนท่านใดถูกแก๊งมิจฉาชีพโทรศัพท์มาหลอกลวง ขอให้รีบแจ้งไปยัง ศปก.ปปง. โดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้สามารถระงับยับยั้งการถอนเงินของกลุ่มมิจฉาชีพได้อย่างทันท่วงที โดยโทรศัพท์แจ้งเหตุมาที่ ศปก.ปปง. สายด่วน ปปง. 1710 ซึ่งเปิดทำการทุกวันโดยไม่เว้นวันหยุดราชการ และขอแจ้งเตือนไปยังผู้รับจ้างเปิดบัญชีทุกคนว่า การรับจ้างเปิดบัญชี ถือเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่งต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งการรับจ้างเปิดบัญชีดังกล่าว ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกา พิพากษาว่าเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาจเป็นความอาญาผิดฐานฟอกเงินอีกฐานหนึ่ง ซึ่งมีโทษจำคุกอัตราสูงถึง 10 ปี โดย สำนักงาน ปปง. จะทำการสืบสวนขยายผลและดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อติดตามทรัพย์สินคืนสู่ประชาชนผู้เสียหายและแผ่นดินต่อไป