นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยหลังการหารือกับภาคเอกชนกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 กรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในประกาศประธานาธิบดี (Presidential Proclamation) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ดำเนินการเจรจาจัดทำความตกลงกับสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ที่ USTR เห็นว่ามีมูลค่าส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์มายังสหรัฐฯ สูงจนอาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ พร้อมทั้งให้ติดตามและประเมินสถานการณ์การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากประเทศเหล่านั้น หากมีมูลค่าสูงจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ สหรัฐฯ อาจดำเนินมาตรการภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act 1962 ขึ้นภาษีนำเข้าจากร้อยละ 2.5 เป็นร้อยละ 25
นางอรมน กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่าขณะนี้อาจจะยังเร็วไปที่จะระบุว่าประกาศของสหรัฐฯ จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมของไทยอย่างไร เนื่องจากยังไม่มีมาตรการออกมาในทางปฏิบัติ แต่จากการพิจารณาขอบเขตของสินค้า พบว่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเล็ก และชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทเครื่องยนต์และชิ้นส่วน ระบบส่งกำลัง (transmission and power train parts) และชิ้นส่วนไฟฟ้า (electrical component) อาจเข้าข่ายมาตรการจำกัดการนำเข้าหรือขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม จากสถิติการนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วนของสหรัฐฯ พบว่าสหรัฐฯ นำเข้ายานยนต์จากไทยในปี 2561 มูลค่า 230.7 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.1 ของมูลค่าการนำเข้ายานยนต์ของสหรัฐฯ จากทั่วโลก (208,822 ล้านเหรียญสหรัฐ) และนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ (ไม่รวมยางล้อ) จากไทยมูลค่า 1,296.48 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 0.93 ของการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ของสหรัฐฯจากทั่วโลก (138,991.87 ล้านเหรียญสหรัฐ) พบว่าสัดส่วนการนำเข้าจากไทยต่ำมากจนไม่น่าจะเป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ที่ประชุมเห็นควรติดตามสถานการณ์การเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีความเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การลดหรือจำกัดปริมาณการส่งออกสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนจากประเทศเหล่านี้ไปสหรัฐฯ
นางอรมน เสริมว่า กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ มีการประชุมคณะมนตรีและการค้าและการลงทุน หรือ TIFA ที่สองฝ่ายใช้เป็นเวทีหารือความร่วมมือและแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเป็นโอกาสในการหารือติดตามความคืบหน้าการใช้มาตรการของสหรัฐฯ ได้ ขณะเดียวกันก็ได้กำชับให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยเร่งพัฒนาการผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพนวัตกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนของไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดโลก