ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT เปิดมุมมอง “Thai Fine Art” ให้นานาชาติได้เรียนรู้พัฒนาการงานศิลปหัตถกรรมไทยบนความเปลี่ยนแปลงของโลกในงาน “Revelations 2019” เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562
นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ เป็นหนึ่งในแขกรับเชิญร่วมบรรยายในงาน Symposium ร่วมกับ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นมุมมองความคิดของผู้เชี่ยวชาญ หรือ ศิลปิน และผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความเป็นมืออาชีพและมีบทบาทในการปูทางการพัฒนาศิลปะหรือหัตถกรรมร่วมสมัยของโลกให้ขับเคลื่อนและพัฒนาสู่อนาคต
นานาชาติได้เห็นถึงศิลปหัตถกรรมไทยบนความเปลี่ยนแปลงของโลก พัฒนาการงานหัตถศิลป์ของไทย จากเดิมเป็นของใช้ของชาวบ้าน ต่อมาภูมิปัญญาเหล่านี้ได้เกิดการพัฒนาและฝึกฝน จนเกิดเป็นงานเชิงช่างชั้นสูงที่รังสรรค์ผลงานเพื่อตอบสนองความเชื่อทางศาสนา และส่งเสริมบ่งบอกสถานภาพของผู้ใช้ เช่น เครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ มีความงดงามประณีตวิจิตรตระการตา เพื่อแสดงออกถึงความเคารพเทิดทูน เมื่องานช่างวิจิตรศิลป์แพร่ขยายและคลี่คลายสู่ประชาชนในวงกว้างมากขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงแนวคิดวิถีชีวิตของผู้คน ส่งผลให้งานศิลปหัตถกรรมจำเป็นต้องปรับตัว SACICT ได้ผลักดันให้วงการหัตถศิลป์ไทยมีพัฒนาการที่สอดรับกับกระแสของประชาคมโลก ด้วยภารกิจในการอนุรักษ์ สืบสาน และต่อยอดภูมิปัญญางานศิลปหัตถกรรมให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ โดยมีกลยุทธ์สำคัญคือ“หัตถศิลป์ของชีวิตปัจจุบัน” หรือ “Today Life’s Crafts” หัตถศิลป์ยุคใหม่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว
การร่วมแสดงในงาน “Revelations 2019”เป็นการตอกย้ำบทบาทของ SACICT ในการเป็นเข็มทิศชี้นำทางให้กับงานหัตถศิลป์แก่สังคมไทย โดยศึกษาแนวโน้มเทรนด์โลกผ่านการวิจัยและติดตามความเป็นไปของการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการออกแบบงานหัตถศิลป์ในตลาดนานาชาติ กำหนดเป็น “SACICT Craft Trend” ขึ้น เพื่อบ่งบอกทิศทางของงานหัตถกรรมไทยให้สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งพบว่าการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัล SACICT เองก็จำเป็นต้องปรับองค์กรให้เข้ากับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน โดยมุ่งมั่นในการก้าวสู่การเป็นองค์กรในอาเซียนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยองค์ความรู้และเป็นศูนย์กลาง Big Data ด้านศิลปหัตถกรรม เป็น Art & Craft Hub แห่งภูมิภาค
SACICT เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีอันเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องก้าวให้ทันกระแสโลก สื่อดิจิทัลเป็นเครื่องมือและสื่อทางวัฒนธรรมที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งยุคสมัย จึงผลักดันให้เกิดการเชื่อมสังคมเครือข่ายด้านงานหัตถศิลป์เข้าไว้ด้วยกัน (Social Craft Network) ผู้ผลิต ผู้ใช้ รวมไปถึงผู้ที่สนใจในเรื่องหัตถศิลป์ต่างเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ ความชอบที่มีร่วมกัน สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามที่ต้องการ เกิดเป็นเครือข่ายที่มีความใกล้ชิดอย่างยั่งยืน และจากการที่โลกไร้พรมแดนผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ได้ส่งผลให้งานศิลปหัตถกรรมหลอมรวมความหลากหลาย เกิดเป็นการกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Cultural Blending) ที่มีการผสมผสานของวัฒนธรรมหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งที่มาจากรากเดียวกันและวัฒนธรรมที่เข้ามาอิทธิพลต่อความคิดและการแสดงออกของหัตถศิลป์
การหลั่งไหลและถาโถมของเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่การดำเนินชีวิตของผู้คนอย่างรวดเร็วและง่ายดายนี้เอง ที่ทำให้คนยุคปัจจุบันเกิดความสับสน เหนื่อยล้าและเครียด ส่งผลให้เกิดการพักจิตใจด้วยงานศิลปหัตถกรรม (Digital Detoxing) ผู้คนแสวงหาคุณค่า ความงดงาม และวิถีในแบบดั้งเดิมจากงานหัตถศิลป์นำมาเติมเต็มความรู้สึก โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการมากกว่าการครอบครองวัตถุ แต่คือการได้ครอบครองและสัมผัสกับประสบการณ์เหนือจริง (Surreal Hospitality) ที่แตกต่างจากความคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน ผู้บริโภคสมัยใหม่โหยหาประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใคร ผลงานหัตถศิลป์ยุคใหม่จึงต้องทั้งความสวยและยังต้องแปลกแตกต่าง องค์ประกอบที่ผ่านการคิดมาอย่างใส่ใจ ผ่านกรรมวิธีที่ทั้งยากและใช้เวลามากมายในการสร้างสรรค์ ผนวกกับแนวคิดทางศิลปะสามารถสร้างสุนทรียภาพ ความงดงามในจิตใจ เกิดความอิ่มใจและเอิบอาบในวิถีแห่งภูมิปัญญาที่ถูกนำกลับมาเติมเต็มชีวิตของผู้คนในปัจจุบันได้