“ราช กรุ๊ป ปรับกลยุทธ์การเติบโต ขยายฐานจากไฟฟ้าสู่ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ตั้งเป้าสัดส่วนลงทุน 80:20”

นนทบุรี –  บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แถลงปรับกลยุทธ์ธุรกิจ ขยายฐานการเติบโตจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าไปยังระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รองรับโอกาสการลงทุนภายในประเทศจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและประเทศ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงกำหนดให้ธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจหลัก และคาดหมายการลงทุนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 20% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับจากปีนี้การลงทุนของบริษัทฯ จะมุ่งไปที่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นสำคัญ โดยโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจในประเทศไทยมีมากขึ้นจากแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมไทยเชื่อมโลกของยุทธศาสตร์ชาติ แผนการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนและส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบ การจัดการที่เสริมความมั่นคงของระบบพลังงาน รวมทั้งแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2561-2580 บริษัทฯ มั่นใจในศักยภาพและมีความพร้อมที่จะลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกิจการของบริษัทให้บรรลุเป้าหมายที่ 200,000 ล้านบาทในปี 2566

“ธุรกิจผลิตไฟฟ้ายังถือเป็นธุรกิจหลักที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งองค์กร โดยบริษัทฯ ยังคงแสวงหาการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ สปป.ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน และฟิลิปปินส์ ตามแผนการลงทุนปี 2562 คาดว่าจะมีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และขนาดเล็กในไทย 2 โครงการ อีกทั้งยังมีอีก 6 โครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดและเจรจาการร่วมทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สปป. ลาว และเวียดนาม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสนใจโครงการรถไฟฟ้า ถนนมอเตอร์เวย์ที่กำลังจะเปิดประมูลในอนาคต รวมทั้งธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี Internet of Things และโทรคมนาคม ฉะนั้นภาพการดำเนินธุรกิจของราช กรุ๊ป จะเป็นการลงทุนเพื่อช่วยยกระดับปัจจัยพื้นฐานที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวหน้า และสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของสังคมในวงกว้างมากขึ้น” นายกิจจา กล่าว

ในปี 2562 บริษัทฯ มีโรงไฟฟ้า 3 แห่งที่จะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และรับรู้รายได้ กำลังผลิตติดตั้งตามการถือหุ้นรวม 179.73 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คอลลินส์วิลล์ ออสเตรเลีย  โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน เซน้ำน้อย ในสปป.ลาว ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 4 โครงการรวม 486.79 เมกะวัตต์