กรมวิชาการเกษตร เร่งวิจัยปรับปรุงพันธุ์ถั่วเหลืองสานนโยบายรัฐบาลเพิ่มผลผลิตในประเทศให้สอดรับความต้องการบริโภค พร้อมเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร จับถั่วเหลืองพันธุ์ฝักดกผสมพันธุ์ให้ผลผลิตสูง ได้ถั่วเหลืองพันธุ์ใหม่ “กวก. เชียงใหม่ 7” ลักษณะเด่นให้ผลผลิตสูง 304 กิโลกรัม/ไร่ แซงหน้าพันธุ์เดิมที่เกษตรกรนิยมปลูก พร้อมให้ปริมาณโปรตีนสูงกว่า 35 เปอร์เซ็นต์
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ถั่วเหลืองเป็นพืชเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมน้ำมันพืช อาหารสัตว์ อาหารแปรรูป และอาหารสุขภาพต่าง ๆ เป็นอาหารโปรตีนสูงที่มีราคาถูกเมื่อเปรียบเทีบกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เป็นพืชบำรุงดินและสามารถตัดวงจรการระบาดของโรคและแมลงในระบบปลูกพืช รวมทั้งการปลูกถั่วเหลืองยังใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าวนาปรังและพืชไร่อื่น ๆ บางชนิด
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การผลิตและการบริโภคถั่วหลือง ในปี 2555-2564 การผลิตถั่วเหลืองของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากสภาพอากาศที่แปรปรวนและมีพืชแข่งขันอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยในปี 2564 มีพื้นที่ปลูกจำนวน 88,010 ไร่ ให้ผลผลิตรวม 23,482 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 267 กิโลกรัม/ไร่ ในขณะที่ความต้องการบริโภคถั่วเหลืองของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 มีปริมาณความต้องการใช้เมล็ดถั่วเหลืองถึง 3,763,823 ตัน เนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการสกัดน้ำมันถั่วเหลืองและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ในขณะที่สามารถผลิตได้เพียง 22,800 ตัน และคาดว่าปริมาณความต้องการใช้เมล็ดถั่วเหลืองจะเพิ่มขึ้นมากขึ้นอีกในปีต่อไป รัฐบาลจึงมีนโยบายเร่งส่งเสริมการผลิต ถั่วเหลืองในประเทศและให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหาแนวทางในการเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองในประเทศร่วมกัน
ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร ได้วิจัยปรับปรุงพันธุ์และเทคโนโลยีการผลิตถั่วเหลืองอย่างต่อเนื่อง และได้รับรองพันธุ์ถั่วเหลืองเพื่อแนะนำให้เกษตรกรเพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตมาโดยตลอด แต่เนื่องจากผลกระทบของสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พันธุ์เดิมให้ผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ จึงได้วิจัยปรับปรุงพันธุ์ใหม่เพื่อให้พันธุ์ถั่วเหลืองที่ตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และทำให้ผลผลิตต่อพื้นที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มทางเลือกในการใช้พันธุ์ สร้างแรงจูงใจการในการปลูกถั่วเหลืองให้กับเกษตรกร รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศ
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ ทำการคัดเลือกลูกผสมสายพันธุ์ที่มีลักษณะทางการเกษตรดี ให้ผลผลิตดี เข้าประเมินผลผลิตตามขั้นตอนของการปรับปรุงพันธุ์ ได้แก่ การเปรียบเทียบเบื้องต้น การเปรียบเทียบมาตรฐาน และการเปรียบเทียบในไร่เกษตรกร โดยใช้พันธุ์มาตรฐานเชียงใหม่ 60 และ เชียงใหม่ 6 เป็นพันธุ์เปรียบเทียบ ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ และไร่เกษตรกรแหล่งปลูกถั่วเหลือง จนได้ถั่วเหลืองสายพันธุ์ CM0701-24 ซึ่งได้มาจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์พื้นเมือง TG68 ที่มีฝักดก และพันธุ์ PK7386 ที่ให้ผลผลิตสูง ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร ให้ถั่วเหลืองพันธุ์ใหม่ “กวก. เชียงใหม่ 7” เป็นพันธุ์แนะนำในวันที่ 12 กรกฎาคม 2565
“ถั่วเหลืองพันธุ์ “กวก. เชียงใหม่ 7” มีลักษณะเด่น ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 304 กิโลกรัม/ไร่ สูงกว่าพันธุ์เชียงใหม่ 60 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 281 กิโลกรัม/ไร่ และเชียงใหม่ 6 ให้ผลผลิตเฉลี่ย 275 กิโลกรัม/ไร่ การเจริญเติบโตแบบกึ่งทอดยอด รูปร่างเมล็ดสวยค่อนข้างกลม เปลือกเมล็ดสีเหลือง และขั้วเมล็ดสีน้ำตาล อายุออกดอก 38 วัน อายุเก็บเกี่ยว 93 วัน ความสูง 58 เซนติเมตร จำนวนกิ่ง 1-2 กิ่งต่อต้น จำนวนฝัก 34 ฝักต่อต้น จำนวนเมล็ดต่อฝัก 2.24 เมล็ด น้ำหนัก 100 เมล็ด 13.59 กรัม ให้ปริมาณน้ำมันในเมล็ด 20.9 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณโปรตีน 35.3 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ปลูกถั่วเหลืองในฤดูแล้งจังหวัดเชียงใหม่ แพร่ น่าน สุโขทัย ขอนแก่น และเลย และในฤดูฝน จังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน
“ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ ได้ทำการขยายเมล็ดพันธุ์เพื่อรองรับความต้องการของเกษตรกรในเบื้องต้น จำนวน 500 กิโลกรัม สามารถปลูกได้ในพื้นที่ประมาณ 40 ไร่ และจะทำการผลิตเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นในปีต่อไป ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจาก ถั่วเหลืองพันธุ์ “กวก. เชียงใหม่ 7 ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าพันธุ์เดิมที่เกษตรกรกรนิยมปลูก ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ โทรศัพท์ 053 498 536” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว