กระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชน หลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปาก อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงผ่านโลกออนไลน์ ชี้อันตราย เตือนประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อ พร้อมแนะวิธีใช้น้ำยาบ้วนปากถูกวิธี และหากพบปัญหาสุขภาพช่องปากให้พบทันตแพทย์
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัยและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันมีการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะบนสื่อออนไลน์ ซึ่งโฆษณาสรรพคุณว่าเมื่อใช้แล้วสามารถขจัดคราบหินปูน คราบพลัค คราบจุลินทรีย์ ทำให้หินปูนหลุดออกได้ และทำให้ฟันขาวขึ้นภายใน 1 สัปดาห์นั้น ขอเตือนว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากน้ำยาบ้วนปากไม่สามารถกำจัดหินปูนให้หลุดออกมาได้
แพทย์หญิงอัมพรกล่าวต่อว่า การใช้น้ำยาบ้วนปาก ไม่แนะนำให้ใช้เป็นกิจวัตรประจำวัน ให้ใช้เสริมการแปรงฟันในกรณีที่ทันตแพทย์แนะนำ มีข้อบ่งชี้ เช่น สุขภาพช่องปากไม่ดี ปากเป็นแผล เป็นโรคเหงือก มีการผ่าตัดเหงือก หรือคนที่มีแนวโน้มฟันผุง่าย ถ้าสุขภาพช่องปากเป็นปกติไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาบ้วนปาก เพราะการใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เชื้อราในช่องปากเพิ่มขึ้นและเสียสมดุลในช่องปาก เนื่องจากในน้ำยาบ้วนปากมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค จึงขอย้ำประชาชนอย่าหลงเชื่อ เนื่องจากไม่มีผลทางวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์มายืนยัน หากมีปัญหาควรปรึกษาแพทย์ดีที่สุด
ด้านทันตแพทย์หญิงปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการกองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า ประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดกลิ่นปากได้ชั่วคราว สามารถควบคุมกลิ่นปากได้ประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นประสิทธิภาพจะลดลง ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเป็นครั้งคราวในกรณีที่ต้องการความมั่นใจ หากใช้เพื่อระงับกลิ่นปาก ควรแก้ที่สาเหตุของกลิ่นปากโดยตรง เช่น มีฟันผุ เป็นโรคเหงือกอักเสบ เป็นโรคระบบทางเดินอาหาร ทอนซิลอักเสบ หรือไซนัส ให้รับการรักษาอย่างตรงจุดและดูแลอนามัยในช่องปาก โดยแปรงฟันให้สะอาดทุกวัน เพิ่มการทำความสะอาดลิ้น เนื่องจากฝ้าขาวบนลิ้นเป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปาก ขณะเดียวกันควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน และในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากทุกประเภท ทั้งประเภทที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และปราศตากแอลกอฮอล์ เนื่องจากยังไม่มีการควบคุมการกลืนที่ดี อาจมีการกลืนน้ำยาบ้วนปาก สำหรับน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ผสม ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี