เดือนมีนาคม 2564 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่องค์การอนามัยโลก รายงานปัญหา “การได้ยิน” ของคนทั้งโลก ที่กำลังเป็นปัญหาพอกพูนความรุนแรง เพราะใน 5 คนจะพบผู้มีปัญหาทางการได้ยิน 1 คน หรือคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งโลกที่กำลังประสบปัญหานี้
รายงานขององค์การอนามัยโลก สำทับลงไปอีกว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า จะมีผู้คนสูญเสียการได้ยินสูงถึง 2,500 ล้านคน และจำนวนนี้ 700 ล้านคน จะต้องได้รับการรักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์การอนามัยโลก ต้องการให้ทุกประเทศถึงความสำคัญของปัญหานี้ และหาทางรับมือ โดยเฉพาะกับเด็กแรกเกิด หรือเด็กที่มีปัญหาทางการได้ยินตั้งแต่แรก เนื่องจากจะสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตของเด็กแต่ละช่วงวัย ที่จะเจอปัญหาจากการฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งเป็นผลกระทบต่อการเรียนรู้ และคุณภาพประชากรในระยะยาว
ปัจจุบัน ทางออกสำหรับการรักษาการได้ยิน มีเพียงแค่การผ่าตัดประสาทหูเทียมเท่านั้นที่ได้ผล ซึ่งประเทศไทยมีการรักษาในรูปแบบนี้ แต่ค่ารักษาเพื่อการผ่าตัดรวมทั้งค่าอุปกรณ์ที่ต้องใส่เพื่อให้เกิดการได้ยินมีราคาที่แพงอย่างมาก จึงจำกัดการรักษาเพียงแค่กลุ่มคนที่มีกำลังจ่าย แต่ทว่าล่าสุด สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำให้เกิดชุดสิทธิประโยชน์ในการผ่าตัดประสาทหูเทียมเพื่อใส่อุปกรณ์การได้ยินให้กับคนไทย ซึ่งช่วยผู้ที่มีปัญหาการได้ยินในประเทศได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ชุดสิทธิประโยชน์เกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากการมีระบบทะเบียนและคัดกรองเพื่อผ่าตัดประสาทหูเทียมที่พัฒนาโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ภายใต้การสนับบสนุนงบประมาณจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ทีมวิจัยนำโดย รศ.ดร.นพ.ภาธร ภิรมย์ไชย ซึ่งได้พัฒนาระบบการลงทะเบียนและคัดกรองผู้มีสิทธิ์ที่ต้องได้รับการรักษา ทำให้การคัดกรองมีคุณภาพ และมีความรวดเร็วในการวินิจฉัย ก่อนเข้ารับการผ่าตัดประสาทหูเทียม ตลอดจนตัวระบบทะเบียนสามารถติดตาม ประเมินผลการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง
รศ.ดร.นพ.ภาธร ภิรมย์ไชย หัวหน้าโครงการวิจัย สะท้อนถึงผลการวิจัยที่ผ่านมาว่า ในปี 2564 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สนับสนุนชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์ประสาทหูเทียมโดยเพิ่มสิทธิประโยชน์คัดกรองเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่มีปัญหาทางการได้ยิน ได้รับการตรวจ และประเมินการรักษาด้วยการผ่าตัดประสาทหูเทียม ซึ่งคาดว่าจะสามารถผ่าตัดประสาทหูเทียมให้กับเด็กไทยตามสิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ถึง 30 รายต่อปี โดยปัจจุบัน มีสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญและมีองค์ความรู้ด้านประสาทหูเทียมที่ผ่าตัดประสาทหูเทียมได้ 11 สถาบันในประเทศไทย
นอกจากนี้ การดำเนินการวิจัยมีเป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบลงทะเบียนสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาทางการได้ยิน เพื่อให้ได้รับการผ่าตัดประสาทหูเทียม รวมไปถึงการติดตามผลหลังผ่าตัด และที่สำคัญคือการคัดเลือกผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ควรได้รับการรักษาเป็นไปตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ซึ่งสปสช.ได้เข้ามาใช้ระบบลงทะเบียนที่ทีมวิจัยได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อคัดกรองผู้ป่วย โดยอยู่ในรูปแบบคณะกรรมการคัดกรองที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทหูเทียม 3 คน และมีผู้เชี่ยวชาญจาก สปสช. อีก 1 คนทำหน้าที่คัดกรองว่าผู้ป่วยควรได้รับการผ่าตัดประสาทหูเทียมเพื่อรักษาการได้ยินหรือไม่ รวมไปถึงการตรวจสอบสิทธิประโยชน์ทางการรักษา ซึ่งแต่ละรายใช้เวลาประเมินคัดกรองใน 1 สัปดาห์ก็จะทราบผล ทำให้การคัดกรองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วขึ้น
“อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดประสาทหูเทียมพบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง โดยเฉลี่ยเฉพาะค่าผ่าตัดเพียงอย่างเดียวจะอยู่ที่ราว 300,000 – 800,000 บาท แต่เมื่อเกิดชุดสิทธิประโยชน์จากสปสช.ขึ้นมา จะช่วยให้ผู้ปกครองและเด็กไทยได้เข้าถึงการผ่าตัดประสาทหูเทียมแบบโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชากรไทย และส่งเสริมให้เด็กที่มีปัญหาทางการไดยินได้รับการรักษาและเติบโตอย่างมีคุณภาพ และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป”
รศ.ดร.นพ.ภาธร ภิรมย์ไชย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีการลงทะเบียนในระบบแล้วกว่า 500 ราย ที่ได้รับการผ่าตัดและรอพิจารณาการผ่าตัดประสาทหูเทียม ซึ่งพบว่าอัตราการลงทะเบียนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ลงทะเบียนมีสัดส่วนหญิงชาย ผู้ใหญ่และเด็กที่เท่ากัน ส่วนผู้ป่วยที่รอพิจารณาการผ่าตัดประสาทหูเทียมตามสิทธิของสปสช. ในช่วงนี้จะมีเฉพาะผู้ป่วยเด็ก จากการติดตามข้อมูลทะเบียน หลังการผ่าตัดประสาทหูเทียมพบว่าการได้ยินเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งในระยะเวลา 6 เดือน และเมื่อหลัง 12 เดือนคุณภาพชีวิตในแง่การได้ยินและการเคลื่อนไหวทางร่างกายก็ดีขึ้นด้วย
“นอกจากนี้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) รวมถึงกรมบัญชีกลาง ได้แสดงความจำนงที่จะใช้ระบบการลงทะเบียนที่ทีมวิจัยได้พัฒนาขึ้นมาเช่นกัน เพื่อนำไปใช้ในการช่วยคัดกรองผู้ป่วยทางการได้ยินในส่วนของสิทธิประกันสังคม และสิทธิข้าราชการจากกรมบัญชีกลาง ซึ่งหากมีการประสานงานและเกิดการดำเนินการขึ้น ก็จะทำให้การใช้ระบบคัดกรองผู้ป่วย การติดตามผู้ป่วยในระยะยาวของทีมนักวิจัย ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทุกสิทธิ์หลักประกันสุขภาพของประเทศไทย” รศ.ดร.นพ.ภาธร ภิรมย์ไชย กล่าว
ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. กล่าวว่า งานวิจัยในโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย และทำให้เกิดระบบการลงทะเบียนที่จะนำไปใช้ในระบบประกันสุขภาพอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เห็นว่าโครงการนี้ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของประชากรที่ได้รับการผ่าตัดประสาทหูเทียมในระยาว รวมถึงผู้ป่วยกลุ่มใหม่ที่ได้รับบริการ เพื่อประเมินความครอบคลุมต่อการเข้าถึงบริการ ประสิทธิภาพ และผลกระทบระยะยาว และได้ทราบว่างบประมาณของประเทศที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์นั้นมีความคุ้มค่า