สช. ชักชวนภาคีเปิดวงหารือ “แนวทางในการพัฒนาศักยภาพผู้อำนวยการกองสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัด” หวังใช้เป็นกลไกสร้างการมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่ด้วยหลักคิด “สุขภาพแบบองค์รวม” ยกระดับระบบบริการสุขภาพท้องถิ่น รองรับการถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. สู่ อบจ.
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2565 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดการประชุมปรึกษาหารือแนวทางในการพัฒนาศักยภาพผู้อำนวยการกองสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจต่อแนวคิดสุขภาพแบบองค์รวมที่จะนำไปสู่การจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพระดับพื้นที่แบบมีส่วนร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างหลักสูตรการอบรม และเกิดเป็นเครือข่ายกองสาธารณสุข อบจ. ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยฯ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปยัง อบจ. ที่กำลังจะเกิดขึ้น
นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้กำลังจะมีการถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. ไปยัง อบจ. ซึ่งในส่วนของท้องถิ่นเองก็มีความตั้งใจในการรับภารกิจถ่ายโอนฯ ด้านบริการสุขภาพ โดยเฉพาะบริหารปฐมภูมิ ฉะนั้นการจัดประชุมในครั้งนี้ได้ทำให้เห็นความสำคัญถึงการบริหารจัดการระบบสุขภาพท้องถิ่นให้มีคุณภาพ และตอบสนองต่อประชาชน
อย่างไรก็ดี ยังมีส่วนความรู้ที่จะต้องเพิ่มเติมอีก เช่น แนวคิดหรือวิธีการมีส่วนร่วม ทั้งในการอบรมและการบริหารจัดการระบบสุขภาพในพื้นที่ รวมไปถึงความรู้ในด้านนวัตกรรมหรือแนวคิดระบบสุขภาพที่อาจจะต้องอาศัยกระบวนทัศน์หรือทฤษฎีใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องนวัตกรรมในระบบสุขภาพ การบริหารระบบสุขภาพแนวใหม่ และปัจจัยสังคมที่กำหนดสุขภาพ
นพ.ปรีดา กล่าวว่า หากมองระบบสุขภาพแบบองค์รวมและเห็นว่าปัจจัยทางสังคมที่กำหนดสุขภาพนั้นเป็นอย่างไรก็จะสามารถทำให้คิดกลไกต่างๆ และใส่ความรู้ที่จะเพิ่มเติมลงไปได้ ซึ่งก็คิดว่าอย่างน้อยที่สุดต้องเริ่มจากหลักคิดระบบสุขภาพแบบองค์รวม
รศ.ดร.ธัชเฉลิม สุทธิพงษ์ประชา อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า การยกร่างหลักสูตรอบรมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะจัดให้มีการจับคู่ เช่น จ.สุราษฎร์ธานีจับคู่กับมหาวิทยาลัยราชภัฏในพื้นที่ ซึ่งการวัดผลการอบรมนั้นจะต้องวัดกันในระยะยาว รวมไปถึงงานบางอย่าง เช่น แนวทางการทำแผนพัฒนาสุขภาพจากพื้นที่เป็นงานที่ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขทำคนเดียวไม่ได้ ฉะนั้นต้องมีเครือข่ายที่จะเข้ามาช่วยกันคิด
ขณะเดียวกัน ส่วนตัวมองว่าเรื่องเทคโนโลยีทางสังคม หรือการบริหารเทคโนโลยียังเป็นเรื่องที่ถูกลืม ซึ่งอาจจะต้องมีการคิดหรือสอนให้ อบจ. บริหารภาครัฐแนวใหม่ให้ทันสมัยมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงการระดมทุนที่อาจจะต้องขยาย และสร้างความเป็นเจ้าของให้ร่วมให้ประชาชนในพื้นที่ เปิดช่องทางให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ร่วมกับ อบจ. เช่น การเปิดระดมทุน หรือการซื้อหุ้น ฯลฯ
“ผมคิดว่าประเด็นต่างๆ เหล่านี้เราต้องใส่เข้าไป การถ่ายโอนไปต้องดีขึ้นกว่าเดิมทุกเรื่อง ผมว่าปลูกตรงนี้เข้าไปและค่อยติดตามประเมินผลในระยะยาว” รศ.ดร.ธัชเฉลิม กล่าว
รศ.ดร.นพ.นันทวัช สิทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า การอบรมหลักสูตรดังกล่าวอาจจะต้องมีหลายรอบ แม้ว่าในรอบแรกจะค่อนข้างเร่งรีบแต่ในระหว่างทางก็ควรจะเก็บปัญหาหรือความต้องการที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้หลักสูตรการอบรมในรอบต่อไปตอบโจทย์และประณีตมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าคงต้องเป็นแผนระยะยาวที่ใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี เมื่อแข็งแรงแล้วจึงค่อยดำเนินงานในโจทย์ต่อไป
อย่างไรก็ดี การเรียนการสอนควรมีส่วนร่วมจากหน่วยงาน หรือองค์กรในพื้นที่ ซึ่งวิธีการนั้นสามารถออกแบบให้มีส่วนร่วมได้ รวมไปถึงควรจะต้องมีการผลลัพธ์ที่ได้จากการเรียนรู้ และมีการประเมินด้วย ขณะเดียวกันหากต้องการเน้นเครือข่ายก็อาจจะต้องออกแบบกลไกเครือข่ายที่สามารถทำให้มีการประสานงานกันต่อได้ในระยะยาว ไม่ใช้เครือข่ายจากธรรมชาติที่ได้จากการอบรม
นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สำหรับการอบรมในช่วงเริ่มต้นอยากให้คณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่ (กสพ.) ได้รับรู้ก่อนในเบื้องต้น เนื่องจากมีองค์ประกอบของทั้งส่วน อบจ. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สปสช. เขต หรืออาจจะรวมไปถึง คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) รวมไปถึงอยากให้มีการจัดการพัฒนาบุคลากรในระดับเขตที่อยู่ในพื้นที่จริงเพื่อให้มีการทำความรู้จักกันในเขต ซึ่งอาจจะมอบหมายให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่เข้ามามีส่วนช่วยในการดำเนินงาน
ทางด้าน นายเลอพงศ์ ลิ้มรัตน์ ประธานคณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนด้านสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า เป็นห่วงเรื่องการบริหารจัดการตามระยะเวลาที่เหลืออยู่ และเห็นด้วยหากสามารถกระจายไปในระดับเขตพื้นที่ ส่วนตัวอยากให้มีการประสานงานกันว่าหน่วยใดจะจัดประชุม หรืออบรมเรื่องใด เพราะขณะนี้ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขของ อบจ. ยังมีไม่มาก รวมไปถึงเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุขบาง อบจ. มีเพียง 2 คนเท่านั้น หากจัดพร้อมกันก็อาจจะทำให้เกิดอุปสรรคได้