สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ลุยตลาดเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงามในงาน ASEANbeauty 2018 งานแสดงสินค้าความงามและสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค พร้อมปล่อยผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยอย่าง “ผงไหมซิริริน” เป็นทางเลือกใหม่ในตลาดเครื่องสำอาง และดันเทคโนโลยีการฉายรังสีแกมมา มายกระดับมาตรฐานเครื่องสำอางไทย หวังสนับสนุนผู้ประกอบการสร้างรายได้ ช่วยอุตสาหกรรมความงามไทยโตขึ้น
คุณพัชรี บุญสนิท นักพัฒนาธุรกิจนิวเคลียร์ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า “ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง ทางสถาบันจึงได้ทำการวิจัยด้านพลังงานนิวเคลียร์ เพื่อมาปรับใช้ในอุตสาหกรรมความงาม และเพื่อให้ผู้ประกอบการได้รู้จักกับเทคโนโลยีรังสีแกมมาให้มากขึ้น เพราะรังสีนี้เป็นรังสีที่ดี ถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสมจะไม่เป็นอันตราย สร้างประโยชน์ได้หลายด้าน และเพื่อที่จะทำให้ผู้ประกอบการเห็นภาพชัดเจนขึ้น เราจึงเลือกงาน ASEANbeauty 2018 เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ รวมถึงใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการใช้รังสีอย่าง ผงไหมซิริริน มาจัดแสดงเป็นสินค้าทางเลือกใหม่ในกลุ่มสกินแคร์”
ผงไหมซิริริน เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ได้จากการนำไหมไทยมาผ่านกระบวนการฉายรังสีแกมมา ที่ระดับรังสีประมาณ 300 กิโลเกรย์ ก่อนนำมาสกัดเป็นผงไหม ซึ่งทำให้มีการย่อยสลายโมเลกุลของโปรตีนหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น ทำให้ผงไหมที่ได้มีปริมาณมากขึ้นและมีอนุภาคเล็กลง ละลายน้ำง่ายและแทรกซึมเข้าผิวหนังได้ดี และยังได้คุณประโยชน์จากกรดอะมิโนที่มีในผงไหมครบทั้ง 18 ชนิดอีกด้วย
“จุดเด่นของเทคโนโลยีการฉายรังสีที่เด่นชัด คือการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูงขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการฉายรังสี จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดเชื้อ และยังคงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่ากระบวนการฆ่าเชื้อโดยวิธีอื่น เช่น ได้เครื่องสำอางชนิดผงที่ละลายน้ำง่ายกว่า หรือได้ครีมบำรุงที่เนื้อเนียน ซึมซาบได้ดีกว่า” คุณพัชรี กล่าวเพิ่มเติม
ในการร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการด้านความงามจะได้ยกระดับคุณภาพสินค้าขึ้นเท่านั้น แต่สถาบันฯ จะช่วยดูแลให้คำปรึกษาทั้งในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการนำส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ไปวิจัยเพื่อตรวจคุณภาพ การดูแลมาตรฐานของสินค้าให้ผ่าน อ.ย. รวมทั้งยังรับทำ OEM เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในธุรกิจ SMEs ได้นำสินค้าไปต่อยอดสร้างรายได้อีกด้วย นอกจากนี้ด้วยความเป็นองค์กรที่สังกัดหน่วยงานราชการ สถาบันฯ จึงเน้นถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการมากกว่าการมุ่งหวังผลกำไรอย่างเดียว เพราะการใช้เทคโนโลยีการฉายรังสีของสถาบันฯ จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าของเอกชน รวมถึงสามารถใช้ได้ในทุกกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นใช้กับวัตถุดิบ หรือฆ่าเชื้อผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แล้วก็ทำได้ เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนนั่นเอง
“เรารู้ดีว่าตลาดด้านความงามเป็นตลาดขนาดใหญ่และเติบโตมากขึ้นทุกวัน ฉะนั้นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของสถาบันฯ คือการได้ยกระดับมาตรฐานสินค้าของผู้ประกอบการให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุณภาพของเครื่องสำอางไทยได้รับการยอมรับยิ่งขึ้น ผลักดันให้ผู้ประกอบการสร้างรายได้จากทั้งการขายในประเทศและการส่งออก และเมื่อตลาดความงามไทยมีมูลค่าสูงขึ้น ก็จะช่วยดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมความงามมากขึ้น เศรษฐกิจในประเทศก็จะถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้า สร้างรายได้ให้ประเทศ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนไทยในที่สุด” คุณพัชรี กล่าวปิดท้าย