แพทย์แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ ชี้อัตราการตายและป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจยังคงมีความรุนแรงและแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยว่า จากรายงานสถิติสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุข ในปีพ.ศ.2555 – 2559 พบว่าอัตราตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจต่อประชากร 100,000 คน มีจำนวนเท่ากับ 23.4, 26.9, 27.8, 29.9 และ 32.3 ตามลำดับ ในขณะที่อัตราผู้ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจต่อประชากร 100,000 คน ในปี 2554 – 2558 เท่ากับ 412.70, 427.53, 431.91 407.70 และ 501.13 ตามลำดับ จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโรคหลอดเลือดหัวใจยังคงมีความรุนแรงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากข้อมูลการศึกษาของ Thai Registry in Acute Coronary Syndrome (TRACS) พบว่าปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจของคนไทยที่เข้ารับการรักษา คือ ภาวะไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 83.2 ภาวะความดันโลหิตสูง ร้อยละ 59.5 เบาหวานร้อยละ 50.7 การสูบบุหรี่ ร้อยละ 32.1 และครอบครัวมีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจ  ร้อยละ 9.3 จึงเห็นได้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม รวมถึงละเลย ต่อการออกกำลังกาย ทำให้ส่งผลต่อสุขภาพและระบบต่างๆของร่างกาย เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

นายแพทย์เอนก  กนกศิลป์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กล่าวเพิ่มเติมว่า การลดปัจจัยเสี่ยงข้างต้นควรเริ่มต้นจากความตระหนักและสร้างการรับรู้ถึงการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการลดปัจจัยเสี่ยงในชีวิตประจำวัน เพราะหากป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้วผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยการใช้ยา การรักษาด้วยบอลลูนขยายหลอดเลือด หรือการผ่าตัดต่อเส้นเลือด ซึ่งเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะเส้นเลือดมีโอกาสกลับมาตีบได้อีก แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์และเหมาะสม ร่วมกับการออกกำลังกายจะช่วยให้สามารถลดปัจจัยเสี่ยงและป้องกันการเกิด โรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้มีอายุยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสุขภาพหัวใจมีดังนี้ 1. ผัก ผลไม้สดที่ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล ชมพู่ แคนตาลูป 2. ปลา ไก่ (ลอกหนังออก) เนื้อหมู เนื้อวัว (เนื้อสันไม่ติดมัน) 3. ควบคุมปริมาณรับประทานอาหารจำพวกแป้งหรืออาหารที่มีไขมันสูง  4. ดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมจืดธรรมดา หากดื่มนมเปรี้ยว หรือรับประทานโยเกิร์ตควรเลือกที่มีไขมันต่ำ  5.ประกอบอาหารด้วยการต้ม นึ่ง ลวกปิ้ง ย่าง แทนการทอดหรือผัด 6.ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ  7.ควรใช้น้ำตาลเทียมหรือสารอื่นที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลทราย ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน