กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เกาะติดสถานการณ์ความคืบหน้าการถอนตัวของ สหราชอาณาจักร ออกจากสหภาพยุโรป หรือเบร็กซิท พร้อมเร่งเดินหน้าเจรจาเเก้ไขตารางข้อผูกพันโควตาภาษีในกรอบ WTO 31 รายการ กับยูเคเเละอียู คาด กฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนของยูเคหลังเบร็กซิทจะมีความยืดหยุ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทยกับยูเค
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามความคืบหน้าการถอนตัวของสหราชอาณาจักร (ยูเค) ออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิท (Brexit) ซึ่งล่าสุดผู้นำอียู 27 ประเทศ มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาให้ยูเคออกไปอีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 เพื่อให้ยูเคมีเวลาในการเจรจาจัดทำความตกลงรูปแบบและเงื่อนไขความสัมพันธ์กับอียูใหม่ หรือที่เรียกว่า ความตกลงการถอนตัว (Withdrawal Agreement) นั้น จนถึงขณะนี้ยังคาดเดายากว่าจะลงเอยเช่นไร ซึ่งเป็นไปได้หลายรูปแบบ เช่น ยูเคออกจากการเป็นสมาชิกอียูแบบไม่มีข้อตกลงฯ ยูเคเปลี่ยนใจขอยกเลิกการออกจากการเป็นสมาชิกอียู (revoke Article 50) ยูเคมีการจัดการลงประชามติครั้งใหม่ หรือจัดการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ เป็นต้น ซึ่งต้องติดตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีเมย์กับนายคอร์บิน ผู้นำพรรคแรงงาน (ฝ่ายค้าน) ที่คัดค้านการให้สัตยาบันต่อความตกลงการถอนตัวตั้งแต่เริ่มต้น ว่าจะสามารถหาข้อประนีประนอมได้หรือไม่ และเมื่อใด และข้อประนีประนอมดังกล่าวจำเป็นต้องแก้ไขความตกลงการถอนตัวฯ ที่ตกลงกันแล้วหรือไม่ และอียูจะสามารถยอมรับข้อเสนอแก้ไขความตกลงได้หรือไม่ นอกจากนี้ อียูมีกำหนดเลือกตั้งรัฐสภายุโรประหว่างวันที่ 23-26 พฤษภาคม 2562 ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีเมย์ยังไม่สามารถโน้มน้าว สส. และรัฐสภาฯ ของยูเคให้ความเห็นชอบความตกลงการถอนตัวได้ภายในวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 ยูเคอาจต้องเข้าร่วมการเลือกตั้งของอียู และยังอยู่ในอียูแบบไม่มีความชัดเจนว่าจะอยู่ไปอีกนานเท่าใด
นางอรมน เสริมว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เบร็กซิทได้ส่งผลระยะสั้นต่อภาคการเงิน และค่าเงินปอนด์ของยูเค รวมถึงชะลอการตัดสินใจลงทุนเนื่องจากขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และหากเกิดกรณีเบร็กซิทแบบไม่มีข้อตกลง (no deal) คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและเศรษฐกิจของยูเคและอียู เนื่องจากอียูเป็นคู่ค้าสำคัญลำดับที่ 1 ของยูเค มีมูลค่าการค้ารวมประมาณ 580 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 50 ของการค้าทั้งหมดของยูเค และยูเคจะเสียสิทธิพิเศษทางการค้าและการลงทุนต่างๆ ที่เคยมีกับอียูหากมีกำแพงภาษีระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม การออกจากการเป็นสมาชิกอียูแบบไม่มีข้อตกลงน่าจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากท่าทีของยูเคตามมติของรัฐสภาฯ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2562 และอียูเองคงไม่อยากให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
นี้ สำหรับการคาดการณ์ผลกระทบของเบร็ทซิทต่อประเทศไทย ผลกระทบระยะสั้นที่เกิดจากค่าเงินปอนด์ของยูเคที่ผันผวน อาจทำให้ราคาสินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ และความต้องการซื้อสินค้าไทยที่ลดลง สำหรับในระยะยาว คาดว่าไทยน่าจะไม่ได้รับผลกระทบ แม้ยูเคจะเป็นคู่ค้ารายสำคัญอันดับที่ 20 ของไทย โดยมีมูลค่าการค้ารวมประมาณ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สัดส่วนการค้ามีไม่มากนัก (ร้อยละ 1.40 ของการค้าทั้งหมดของไทย) ในทางตรงข้าม ไทยน่าจะได้รับผลเชิงบวก จากการที่กฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนของยูเคภายหลังเบร็กซิทจะมีความยืดหยุ่นและผ่อนคลายกว่าของอียูเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ดังที่ยูเคประกาศจะยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดภายหลังเบร็กซิทต่อสินค้าของไทย 4 รายการ ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ตาข่ายใยแก้ว รถลากพาเล็ท และข้อต่อท่อเหล็กอบเหนียวสลักเกลียว และจะให้ความสำคัญกับพันธมิตรทางการค้าใหม่ ตามนโยบาย Global Britain ทำให้ไทยน่าจะมีโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับยูเคเพิ่มขึ้น
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อรับมือกับเบร็กซิท กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศอยู่ระหว่างเจรจากับทั้งอียูเเละยูเค เรื่องการเเก้ไขตารางข้อผูกพันโควตาภาษีในกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับโควตาสินค้าจำนวน 31 รายการ เช่น มันสำปะหลัง แป้งมันสำปะหลัง ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวหัก ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ปลากระป๋อง เป็นต้น ที่ไทยเคยได้รับโควตาจากอียู เเละจะต้องมีการจัดสรรเเบ่งโควตาใหม่ภายหลังเบร็กซิท โดยมีเป้าหมายเบื้องต้นในการรักษาผลประโยชน์ของไทยให้ได้รับปริมาณโควตารวม (ในอียูและยูเครวมกัน) ที่ไม่น้อยกว่าเดิม และสะท้อนปริมาณการค้าจริงระหว่างไทยกับอียู 27 ประเทศ และยูเคให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ได้เตรียมการศึกษาความเป็นไปได้ถึงการที่ยูเคและสหราชอาณาจักรจะมีการจัดทำเอฟทีเอร่วมกันในอนาคต ภายหลังเบร็กซิท