กรมควบคุมโรค แนะบุตรหลานชวนผู้สูงอายุรับวัคซีนสงกรานต์นี้

กรมควบคุมโรค จัดเตรียมวัคซีนโควิด 19 กระจายไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนหน่วยบริการสุขภาพและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในช่วงสงกรานต์ แนะบุตรหลานที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ถือโอกาสนี้ พาผู้สูงอายุที่ต้องการฉีดวัคซีนหรือครบกำหนดการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ให้เข้ารับวัคซีนโควิด 19 ที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งทั่วประเทศ

วันที่ 13 เมษายน 2565 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสงกรานต์ ถือได้ว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ลูกหลาน ญาติ พี่น้อง จะถือโอกาสกลับบ้านไปกราบไหว้ผู้ใหญ่ และเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติด้วย ประกอบกับสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่กำลังระบาดในขณะนี้ พบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุถึงร้อยละ 78 เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ร้อยละ 53 และได้รับเข็ม 2 เกิน 3 เดือนร้อยละ 33 ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ มีอาการหนักและเสียชีวิตได้ จึงอยากชวนลูกหลานที่เดินทางกลับภูมิลำเนาใช้โอกาสนี้ พาผู้สูงอายุที่ยังไม่ไดรับฉีดวัคซีนหรือครบกำหนดการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ให้เข้ารับวัคซีนโควิด 19 ที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้านได้ทันที

กรมควบคุมโรคได้เริ่มจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีเทา 3 ล้านโดส ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2565 ไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศ และแต่ละจังหวัดได้กระจายวัคซีนไปยังทุก รพ.สต. ภายในวันที่ 12 เมษายน 2565 เช่น จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี ระยอง ตราด สมุทรปราการ ชลบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ แพร่ ลำพูน เชียงราย น่าน และ ลำปาง เป็นต้น ซึ่งแต่ละ รพ.สต. จะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีเทา จำนวนแห่งละ 20 ขวด และวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้าอีกแห่งละ 20 ขวด

โดยข้อดีของวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีเทา เป็นวัคซีนพร้อมใช้ไม่ต้องผสมน้ำเกลือก่อนฉีด และสามารถเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานถึง 10 สัปดาห์ ทำให้ รพ.สต. มีความสะดวก ในการบริการฉีดให้กับประชาชน ทั้งนี้ ในวันที่ 12 เมษายน 2565 กรมควบคุมโรคได้มีการจัดอบรมวิธีการใช้งานวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีเทาให้กับเจ้าหน้าที่ในหน่วยบริการสุขภาพทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการบริการประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้สูงอายุมีความจำเป็นมาก เนื่องจากวัคซีนสามารถป้องกันผู้สูงอายุเสียชีวิตได้เป็นอย่างดี โดยพบว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนตั้งแต่ 2 เข็ม มีอัตราเสียชีวิตลดลง 5 เท่า และหากได้กระตุ้นเข็มที่ 3 จะมีอัตราเสียชีวิตลดลงถึง 31 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดในขณะนี้สามารถแพร่เชื้อได้เร็ว การได้รับวัคซีนเพียง 2 เข็ม เมื่อเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันจะลดลง เมื่อติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรง จึงจำเป็นต้องเข้ารับวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 หรือเข็ม 4 ซึ่งมีข้อมูลว่าช่วยลดการป่วยหนักและลดการเสียชีวิตได้ชัดเจน

*****************************
ข้อมูลจาก : สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค
วันที่ 13 เมษายน 2565