สธ. มอบของขวัญ 3 ชิ้นสำคัญให้ผู้สูงวัย 12 ล้านคน มีคุณภาพชีวิตที่ดี

วันที่ 4 เมษายน 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “สาธารณสุขห่วงใย มอบของขวัญผู้สูงวัย ในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2565” ณ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร โดยมี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนภาคีเครือข่ายการดูแลผู้สูงอายุ และชมรมผู้สูงอายุ กว่า 100 คน ร่วมงาน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายพัฒนาระบบสุขภาพ เน้นการดูแลแบบองค์รวม ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ให้เข้าถึง และได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ รวมถึงการยกระดับระบบสุขภาพปฐมภูมิ ให้เข็มแข็ง มีคุณภาพทั่วถึงและยั่งยืน โดยในปีงบประมาณ 2565 กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบาย “ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง” ผ่านการบูรณาการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบไร้รอยต่อ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย แบบองค์รวม ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ด้วยการมอบของขวัญ 3 ชิ้น ให้แก่ผู้สูงอายุ เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ได้แก่

ของขวัญชิ้นที่ 1 การคัดกรองความเสื่อมของร่างกาย โดยมุ่งเน้น 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ ภาวะโภชนาการ การเคลื่อนไหวร่างกาย และสุขภาพช่องปาก ดำเนินการคัดกรองโดยบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้ผู้สูงอายุ ที่เริ่มมีความเสื่อมได้รับบริการด้านสุขภาพอย่างทันท่วงที ครอบคลุมผู้สูงอายุกว่า 10 ล้านคน

“ของขวัญชิ้นที่ 2 โปรแกรมการชะลอความเสื่อม เพื่อป้องกันการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุ ซึ่งดำเนินการ โดยหมอคนที่ 1 ทำหน้าที่เยี่ยมบ้าน และเสริมพลังผู้สูงอายุและญาติให้ดำเนินกิจกรรมตามโปรแกรมที่วางแผนไว้ ครอบคลุมผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงกว่า 1 ล้านคน และหมอคนที่ 2 ทำหน้าที่วางแผนโปรแกรม สาธิตวิธีการ และให้การ ดูแลรักษาเบื้องต้น

ของขวัญชิ้นที่ 3 มอบสิทธิประโยชน์แก่ผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบาง โดยมีผู้บริบาลผู้สูงอายุในระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care) ได้แก่ ผู้จัดการการดูแลผู้สูงอายุ (Care manager) จำนวน 16,000 คน และผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver) จำนวน 100,000 คน ตลอดจนสนับสนุนผ้าอ้อมผู้ใหญ่ให้กับผู้สูงอายุติดเตียง เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ รวมทั้งการสนับสนุนให้บุคคลในครอบครัวมีสมรรถนะเป็นผู้บริบาลในครอบครัว (Family caregiver) ครอบคลุมผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน และติดเตียงกว่า 5 แสนคน เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาโรค และฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ทางด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานพัฒนาระบบ การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care) ปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า มีตำบลที่มีระบบการส่งเสริมสุขภาพ ดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (Long Term Care) ในชุมชนผ่านเกณฑ์ จำนวน 6,617 ตำบล จากทั้งหมด 7,255 ตำบล คิดเป็นร้อยละ 91.21 และมีผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลตาม Care Plan จำนวน 342,590 คน ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องเร่งดำเนินการในระดับพื้นที่ผ่านสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ที่จะต้องกำหนดทิศทางให้กับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ และหน่วยบริการบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่เร่งยกระดับการส่งเสริมสุขภาพ ให้เกิดผลลัพธ์ต่อสุขภาพประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุอย่างยั่งยืนต่อไป

กรมอนามัย / 4 เมษายน 2565