พาณิชย์ปลื้ม ผู้นำเข้าตลาดไฮเอนด์แห่ซื้อข้าวไทยและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวไทย

กรมการค้าต่างประเทศนำทัพภาคเอกชนบุกตลาดสิงคโปร์และฮ่องกง ชูข้าวคุณภาพสูงและ ข้าว ซุปข้าวกล้องงอกออร์แกนิค ลิปสติก เซรั่มบำรุงผิวจากสเต็มเซลล์ข้าว ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและ หนังศรีษะจากข้าวไทย กระแสตอบรับดีเกินคาด

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 – 22 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศได้นำคณะผู้ประกอบการข้าวไทยและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวของไทยฯ จำนวน 25 ราย เดินทางเยือนสิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย โดยกรมฯ ได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ   ณ กรุงสิงคโปร์ และเมืองฮ่องกง จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้า/ผู้จัดหาวัตถุดิบของสิงคโปร์และฮ่องกงกว่า 75 ราย รวมถึงจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการเข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ อาทิ รสนิยมของผู้บริโภคหลากหลายเชื้อชาติ กฎระเบียบการนำเข้า การกำหนดราคาสินค้า การจัดจำหน่าย เป็นต้น พร้อมทั้งเยี่ยมชม Sheng Siong Supermarket ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่อันดับ 3 ของสิงคโปร์ที่มีสาขากระจายทั่วประเทศ ส่วนที่ฮ่องกงได้เยี่ยมชมร้าน 759 Store ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีสาขา 245 แห่ง ทั่วเกาะฮ่องกง และห้างอิออน

“การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้นำเข้าทั้ง 2 ประเทศได้ให้ความสนใจสินค้าจากข้าวไทยเป็นอย่างมาก และถือเป็นสร้างโอกาสในการขยายช่องทางการค้าและสร้างความเข้มแข็ง   ให้กลุ่มสหกรณ์และวิสาหกิจชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย ให้สามารถจำหน่ายสินค้าได้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ สำหรับตลาดสิงคโปร์ คาดการว่าใน 1 ปีจะมีคำสั่งซื้อข้าวมูลค่าประมาณ 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวมูลค่าประมาณ 170,000 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ฮ่องกง คาดการว่าจะมีคำสั่งซื้อข้าวมูลค่าประมาณ 30.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวมูลค่าประมาณ 150,000 เหรียญสหรัฐฯ” นางสาวชุติมาฯ กล่าว

นางสาวชุติมาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดในครั้งนี้นอกจากได้รับสั่งซื้อจาก   ผู้นำเข้าของทั้ง 2 ประเทศแล้ว ยังมีการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยที่ร่วมคณะไปด้วยกันอีกด้วย และจากการลงพื้นที่เยี่ยมชมห้างสรรพสินค้าในสิงคโปร์พบว่าข้าวหอมมะลิของไทยที่มีตราสัญลักษณ์ข้าวหอมมะลิไทยยังครองความนิยมเป็นอันดับ 1 แม้จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง ส่วนข้าวอินทรีย์และข้าวสีชนิดต่างๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากของผู้บริโภคในสิงคโปร์เนื่องจากกระแสรักสุขภาพกำลังมาแรง ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากข้าว เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำนมข้าว เครื่องดื่มกึ่งสำเร็จรูปจากข้าว นั้นก็มีวางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นเดียวกัน

 

ส่วนที่ฮ่องกง มีการเจาะกลุ่มลูกค้า Niche Market ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและมีอัตราเติบโต      อย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้าวไทยครองความเป็นที่ 1 ในตลาดฮ่องกงเช่นเดียวกัน นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการขยายการส่งออกข้าวไทยและผลิตภัณฑ์จากข้าวในตลาดฮ่องกง ซึ่งสามารถขยายการส่งออกไปสู่ตลาดจีนด้วย เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนแผ่นดินใหญ่ส่วนใหญ่มองว่าชาวฮ่องกงเป็นกลุ่ม Trend Setter ทำให้สินค้าและบริการที่เข้าสู่ตลาดฮ่องกงมีแนวโน้มว่าจะสามารถเข้าสู่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ได้เช่นกัน

       นอกจากข้าวหอมมะลิไทยแล้ว ข้าวเพื่อสุขภาพของไทย นับว่ามีโอกาสอย่างมากในการเข้าไปทำตลาดสิงคโปร์และฮ่องกง เนื่องจากสอดคล้องกับความต้องการของตลาดไฮเอนด์ที่กระแสรักสุขภาพมาแรงมาก โดยข้าวกลุ่มนี้เป็นข้าวชั้นดีที่รัฐบาลไทยผลักดันขยายตลาดส่งออก อีกทั้งยังได้เน้นการขายข้าวในเชิงสร้างสรรค์ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าข้าว ซึ่งข้าวในกลุ่มดังกล่าวถือได้ว่ามีโอกาสสูงในการเข้าไปทำตลาด 2 ประเทศดังกล่าว

       นางสาวชุติมาฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่เพียงแต่สิงคโปร์และฮ่องกงเท่านั้น ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับกระแสรักสุขภาพ และให้ความสำคัญกับสินค้าอินทรีย์ โดยเฉพาะข้าวที่ปลอดภัยปราศจากสารเคมี ปลอดกลูเตน รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยต้องการผลิตภัณฑ์ที่สะดวก พร้อมปรุงมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการส่งออกข้าวคุณภาพสูง ข้าวเพื่อสุขภาพของไทย และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวไทย อาทิ ข้าวสวยพร้อมรับประทาน น้ำนมข้าวยาคูออร์แกนิค อาหารเสริมจากข้าวไทย ซุปและซีเรียลข้าวกล้องงอกออร์แกนิค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ซึ่งหากไทยสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวและผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดดังกล่าว ก็จะทำให้ข้าวไทยสามารถเจาะเข้าสู่ตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น