สธ. หวั่นเด็กเกิดน้อยลง ไม่พอทดแทนวัยแรงงาน เร่งผนึกกำลังภาคีเครือข่าย หาทางออก ส่งเสริมการเกิดคุณภาพ ​

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นางต้องใจ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมกิจการ เด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายบุญเลิศ ค่อนสอาด ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์ ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมศักดิ์ โล่เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ร่วมแถลงข่าว “ทางออกประเทศไทย ในยุคเด็กเกิดน้อย” ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร

ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เนื่องจากสัดส่วนประชากรวัยเด็กและวัยทำงานลดลง ขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ เหตุผลสำคัญที่ทำให้เด็กเกิดน้อย คือ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นใหม่เรียนสูงขึ้น แต่งงานช้า มีค่านิยมอยู่เป็นโสด รักความอิสระ มีความหลากหลายทางเพศ ความต้องการมีบุตร และจำนวนบุตรที่ต้องการเปลี่ยนไป มองการมีบุตรเป็นภาระ เพราะค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรสูงเกินไป มาตรการที่จูงใจ ให้คนต้องการมีบุตรตามที่ครอบครัวต้องการมีน้อย เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ทำให้ประชาชนชะลอการมีบุตร บางส่วนประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก และไม่สามารถเข้าถึงบริการรักษาได้

โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ผลักดันมาตรการสำคัญเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการเกิด ที่มีคุณภาพ อาทิ การให้สิทธิการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมครอบคลุมหญิงตั้งครรภ์ในทุกกลุ่มอายุ และทุกการตั้งครรภ์ การสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคในช่องปากแก่หญิงตั้งครรภ์คนไทยทุกคน ทุกสิทธิ การคัดกรองธาลัสซีเมียในคู่ของหญิงตั้งครรภ์ การตรวจเลือดคัดกรองเบาหวานในกลุ่มอายุ 25 – 59 ปี และการเพิ่ม สิทธิการตรวจคัดกรองซิฟิลิส และการตรวจยืนยันในคู่ของหญิงตั้งครรภ์ทุกราย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการที่อยู่ระหว่าง การผลักดัน ได้แก่ การผลักดันให้การรักษาภาวะมีบุตรยากเป็นสิทธิประโยชน์ การส่งเสริมการจัดตั้งสถานพัฒนา เด็กปฐมวัยอายุต่ำกว่า 2 ปี เพื่อลดภาระ และความกังวลใจให้กับพ่อแม่ระหว่างทำงาน

“การแถลงข่าวในครั้งนี้จึงเป็นการแจ้งเตือน เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต ไม่ว่าประชาชนจะเลือกอยู่เป็นโสด มีบุตร ไม่มีบุตร เพราะผลกระทบนี้จะส่งผลต่อทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่สามารถเพิ่มจำนวนการเกิดที่มีคุณภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่ไร้ลูกหลาน ผู้สูงอายุดูแลกันตามลำพัง ภาระพึ่งพิง ที่มีต่อวัยทำงานสูงขึ้น จึงเสนอให้รัฐบาลหันมาลงทุนในมนุษย์ โดยเฉพาะการลงทุนในเด็ก ซึ่งมีความคุ้มค่าสูงสุด แทนการมุ่งเน้นเรื่องการบริโภคของประชากรแต่ละครอบครัว เพื่อลดความกังวลใจในการเลี้ยงดูบุตร ลดภาระค่าใช้จ่ายหรือค่าครองชีพให้กับประชาชน ส่งเสริมการเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว ให้ความช่วยเหลือครอบครัวที่ต้องการมีบุตร โดยไม่เลือกปฏิบัติ เข้าใจความหลากหลายทางเพศ และสิทธิมนุษยชน ลงทุนในระบบการศึกษา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและการหลุดจากระบบการศึกษา ภายใต้การประกาศนโยบายประชากร โดยให้คุณค่ากับเด็กทุกคน “เป็นลูกของรัฐบาล”ภายใต้หลักการสำคัญ 2 ประการ คือ การมีส่วนร่วม และ การเป็นเจ้าของร่วมกัน” รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ทางด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการประกาศใช้นโยบาย วางแผนครอบครัวแห่งชาติมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2513 ส่งผลให้จำนวนการเกิดปี 2562 ลดต่ำกว่า 600,000 คน เป็นครั้งแรก จนถึงปัจจุบันจำนวนการเกิดเหลือเพียง 544,570 คน ซึ่งเป็นการลดลงต่ำที่สุด นับจากการประกาศ นโยบายวางแผนครอบครัวอย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับอัตราเจริญพันธุ์รวม หรือ TFR ที่ลดต่ำลงเหลือเพียง 1.3 ในปี 2564 จำนวนการเกิดที่ลดต่ำลงนี้จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากร ทำให้ฐานแคบลง ไม่มั่นคง หากไม่มีมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เพราะจากข้อมูลสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ว่าในปี 2583 สัดส่วนวัยเด็กจะเหลือเพียงร้อยละ 12.8 วัยทำงาน ร้อยละ 56.0 ในขณะที่วัยสูงอายุจะมี สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 31.2 ทำให้ภาระพึ่งพิงวัยแรงงานเพิ่มขึ้น โดยวัยแรงงาน 1.7 คน จะต้องดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งนับเป็นภาระที่หนักของวัยแรงงาน ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายในการดูแลตัวเอง ครอบครัว หรือบุตร

นอกจากนี้ จำนวนวัยแรงงานที่ลดลง จะส่งผลให้จำนวนผู้เสียภาษีน้อยลง งบประมาณในการดูแลประชาชนไม่เพียงพอ การขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ และเกิดสังคมไร้ลูกหลาน ความอบอุ่นในครอบครัวขาดหายไป ซึ่งเทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้ โดยรวมแล้ว จำนวนการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อประเทศในอนาคต ทั้งด้านโครงสร้างประชากร โครงสร้างครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ ตลอดจนความมั่นคงของประเทศอย่างรุนแรง

***
กรมอนามัย / 14 กุมภาพันธ์ 2565