หญ้าปักกิ่ง หรืออีกชื่อเรียกอีอย่างหนึ่งว่า หญ้าเทวดา ชื่อจีนเรียกว่า เล่งจือเฉ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ Murdania loriformis ( Hassk ) Rolla Rao et Kammathy จัดอยู่ในวงศ์ COMMELINACEAE หญ้าปักกิ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามสรรพคุณยาจีน ใช้บรรเทาอาการทางเดินหายใจ และขับพิษ กระทั่งได้มีการแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย พื้นบ้านใช้เป็นยาสำหรับแก้น้ำเหลืองเสีย มีฤทธิ์เย็นจัด แก้ไข้ร้อนใน และเริ่มการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า มีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านมะเร็ง ต้านอักเสบ มีประโยชน์ในผู้ป่วยมะเร็ง
จุดเริ่มต้น ของการพัฒนายาจากหญ้าปักกิ่ง เกิดขึ้นจากความเมตตาของ คุณลุงณรงค์ สิทธิกุลพาณิช ที่ริเริ่มแจกจ่ายหญ้าปักกิ่งในผู้ที่เป็นมะเร็ง ตั้งแต่ปี 2515 พร้อมทั้งยังทำการเก็บบันทึกประวัติคนไข้ หลักฐานการใช้จนกระทั่งนักวิชาการทำการศึกษาวิจัย เพื่อยืนยันถึงประโยชน์และความปลอดภัยของสมุนไพรชนิดนี้ ชุดประสบการณ์ของคุณลุงณรงค์ พบว่าทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น โดยแนะนำให้ใช้ หญ้าปักกิ่งต้นสด 3 ต้น ล้างสะอาด ตำละเอียด เติมน้ำต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ กรองคั้นผ่านผ้าขาวบาง แบ่งดื่มวันละ 2 ครั้งก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง โดยทำเช่นนี้ทุกวัน และต่อมาก็ทำในรูปแบบของยาลูกกลอน จนกระทั่ง โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พัฒนาในรูปแบบยาแคปซูลเพื่อสะดวกต่อการใช้ของผู้ป่วยยิ่งขึ้น
หญ้าปักกิ่งถูกใช้เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงของการทำเคมีบำบัด ฉายแสง มามากกว่า 30 ปี ประกอบกับได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานอาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล องค์การเภสัชกรรม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ม.เชียงใหม่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และภาคเอกชนที่ร่วมกับศึกษาวิจัยกระทั่งได้ข้อมูลวิชาการที่ช่วยยืนยันถึงประโยชน์ของหญ้าปักกิ่งต่อการต้านมะเร็ง จากการศึกษาพบว่า หญ้าปักกิ่ง มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ กลัยโคสฟิงโกไลปิด (Glycosphingolipid) หรือ G1b มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม ปอด ลำไส้ใหญ่ และตับ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านการก่อกลายพันธุ์ มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเป็นพิษกับเซลล์มะเร็ง
นอกจากนี้ ยังมีการใช้หญ้าปักกิ่งร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน เพื่อลดผลข้างเคียงเนื่องจากการใช้ยาเคมีบำบัด เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน ยืดอายุผู้ป่วยและช่วยให้มีความแข็งแรงขึ้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
จากข้อมูลพบว่า น้ำคั้นหญ้าปักกิ่งช่วยลดผลข้างเคียงในผู้ป่วยที่ได้รับการฉายแสงและเคมีบำบัด เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร แผลในปาก ปากแห้ง อ่อนเพลีย ปวดข้อและกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ท้องผูก ผมร่วง และอาการข้างเคียงอื่นๆ อีกทั้งหญ้าปักกิ่งยังสามารถใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีกของมะเร็งหลังจากการรักษาแล้ว และใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อีกด้วย จากการตรวจความเป็นพิษเฉียบพลันและความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังของน้ำคั้นพบว่ามีความปลอดภัยแม้ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน 3 เดือน
จึงไม่แปลกที่ “หญ้าปักกิ่ง” จะเป็นสมุนไพรแห่งความหวังของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก แต่นอกจากการใช้หญ้าปักกิ่งแล้ว ยังควรเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นอนุมูลอิสระ เลี่ยงความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงสารเคมี ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เท่านี้ก็เป็นทางเลือกที่ช่วยเสริมคุณภาพชีวิตให้ห่างไกลมะเร็งได้
วิธีเตรียมหญ้าปักกิ่ง
เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรใช้หญ้าปักกิ่งสดทั้งต้นและราก แต่ควรระมัดระวังในการทำความสะอาด เมื่อล้างน้ำสะอาดแล้ว ถ้าจะให้ปลอดภัย ควรนำมาแช่ด้วยน้ำเกลือโดยผสมน้ำเกลือ 2 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ ใช้น้ำส้มสายชู 2 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 20 นาที เพื่อฆ่าเชื้อต่าง ๆ
- น้ำคั้นหญ้าปักกิ่ง : แนะนำทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า เย็น
(เด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง) รับประทานติดต่อกัน 4 วัน หยุดยา 3 วัน (เพื่อป้องกันกร่างกายเย็นจากยาและดูแลระบบไหลเวียนเลือด)
วิธีทำ : นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น จำนวน 3 ต้น ล้างให้สะอาด โขลกในครกสะอาด เติมน้ำต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ กรองผ้าขาวบาง แบ่งรับประทาน เช้า เย็น
- ตุ๋น
วิธีการตุ๋นเป็นวิธีการดั้งเดิม ที่คุณลุงณรงค์ได้สูตรมาจากคุณยิ้ม และจากการพูดคุยกับบราเดอร์ราฟา
เอล ก็ทราบว่า เดิมท่านก็ใช้วิธีตุ๋นเช่นกัน แต่เนื่องจากวิธีตุ๋นนั้นค่อนข้างใช้เวลาและยุ่งยากในการทำ ภายหลังจึงเลือกใช้วิธีตำคั้นแทน
วิธีตุ๋น
ใช้หญ้าปักกิ่งสดทั้งต้นและราก 2 ขีด หรือประมาณ 10 ต้น นำมาล้างให้สะอาด เติมน้ำให้ท่วมยา ตุ๋น
ให้เปื่อย ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง นำน้ำยาที่ได้มาดื่มต่างน้ำทุกวัน ควรตุ๋นวันต่อวัน
- แคปซูล
กินหญ้าปักกิ่งแคปซูล ขนาด 400 มิลลิกรัม : แนะนำทาน 2-3 แคปซูล ก่อนอาหาร สามมื้อ (รับประทาน 4 วัน เว้น 3 วัน หรือ กินร่วมกับขมิ้นชันมื้อละ 2 แคปซูล หลังอาหาร)
หมายเหตุ : การเลือกหญ้าปักกิ่ง : ต้องเลือกต้นที่มีอายุ 3 เดือนขึ้นไป และปลูกด้วยวิธีการเกษตรอินทรีย์ ปลอดสารเคมี
……….
สถาบันการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร
เรียบเรียง : พท.ป.เบญจวรรณ หมายมั่น
ปรึกษาหมอออนไลน์ https://lin.ee/HGT0wkz