เริ่มแล้ว…ฤดูกาลคัดเลือกธุรกิจดีและเก่ง กรมพัฒน์ฯ เปิดรับสมัครนิติบุคคลเข้าร่วม “ประกวดธรรมาภิบาลธุรกิจดีเด่น ประจำปี 2561” พร้อมประกาศหลักเกณฑ์การประเมินแบบใหม่ 360 องศาที่จะใช้องค์ประกอบรอบด้านมาร่วมพิจารณา ทำให้เกณฑ์การคัดเลือกมีความเข้มงวดและเข้มข้นมากยิ่งขึ้น หวัง!! ได้นิติบุคคลที่มีความโปร่งใสมาประดับแวดวงธุรกิจไทย ตามกระแสโลกที่ต้องการธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลธุรกิจมาร่วมเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2561
นางกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ขณะนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กำลังเปิดรับสมัครนิติบุคคลทุกประเภท เพื่อเข้าร่วมประกวดโครงการ “ธรรมาภิบาลธุรกิจดีเด่น ประจำปี 2561” ทั้งระดับจังหวัดและระดับประเทศ ซึ่งการประกวดฯ ดังกล่าว เป็นการจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 เกณฑ์การพิจารณายังคงยึดหลัก 6 ประการ ประกอบด้วย หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า โดยคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกฯ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากองค์กรภาครัฐและภาคธุรกิจชั้นนำของประเทศ เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พาณิชย์จังหวัด สำนักงาน ป.ป.ช. กรมสรรพากร หอการค้าไทย เป็นต้น”
“การประกวดฯ ปี 2561 นี้ กรมฯ ได้มีการปรับหลักเกณฑ์การประเมินใหม่เป็นแบบ 360 องศา ที่จะใช้องค์ประกอบรอบด้านของภาคธุรกิจมาร่วมพิจารณาประเมินฯ เช่น การทำแบบประเมินตนเองตามหลัก ธรรมาภิบาล (Self-Assessment) การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งระดับผู้บริหาร พนักงาน หน่วยงานที่ร่วมดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งคณะกรรมการฯ จะเข้าสังเกตการณ์การปฏิบัติงานและกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานที่สมัครเข้าประกวดฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อคัดสรรธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลธุรกิจจริงๆ ให้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ และที่สำคัญคือ ธุรกิจที่เข้าร่วมประกวดฯ ทุกรายต้องเข้ารับการอบรม/สัมมนาหลักสูตรธรรมาภิบาลธุรกิจจากกรมฯ ก่อนเพื่อให้มีความรู้ด้านธรรมาภิบาล และรับทราบหลักเกณฑ์การประเมินฯ ที่ได้มีการปรับใหม่ที่มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น”
อธิบดีฯ กล่าวต่อว่า “กรมฯ ได้เปิดรับสมัครนิติบุคคลเพื่อเข้าร่วมประกวดโครงการธรรมาภิบาลธุรกิจดีเด่น ประจำปี 2561 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยจะแบ่งการอบรม/สัมมนาฯ ออกเป็น 7 รุ่น ดังนี้ – รุ่นที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 – รุ่นที่ 2 จังหวัดอุดรธานี วันที่ 10 พฤษภาคม 2561 – รุ่นที่ 3 จังหวัดพิษณุโลก วันที่ 17 พฤษภาคม 2561 – รุ่นที่ 4 จังหวัดสงขลา วันที่ 23 พฤษภาคม 2561 – รุ่นที่ 5 จังหวัดระยอง วันที่ 31 พฤษภาคม 2561 – รุ่นที่ 6 กรุงเทพมหานคร วันที่ 6 มิถุนายน 2561 และ – รุ่นที่ 7 จังหวัดเชียงราย วันที่ 14 มิถุนายน 2561”
“โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของธุรกิจที่จะสมัครเข้าร่วมการประกวดฯ คือ 1) เป็นนิติบุคคลประเภท ห้างหุ้นส่วนบริษัท ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน หรือบริษัทจำกัด ที่จดทะเบียนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันปิดรับสมัคร 2) นำส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าต่อเนื่องทุกปี และ 3) ไม่เคยกระทำผิดกฎหมายหรืออยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2558 โดยนิติบุคคลที่สนใจสมัครเข้าร่วมประกวดฯ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองธรรมาภิบาลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร 0 2547 4517, 0 2547 5988 สายด่วนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 1570 และ www.dbd.go.th หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ”
“ดังนั้น จึงขอเชิญชวนธุรกิจที่เป็นนิติบุคคลเข้าร่วมประกวดโครงการ “ธรรมาภิบาลธุรกิจดีเด่น ประจำปี 2561” กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อเป็นการยกระดับธุรกิจให้มีความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐานในการประกอบธุรกิจที่ดีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติทั่วโลกให้ความสำคัญกับการมีธรรมาภิบาลของธุรกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งหากนิติบุคคลไทยมีธรรมาภิบาลและเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทั้งของนักลงทุนและผู้บริโภคก็จะทำให้ธุรกิจนั้นมีโอกาสที่จะเติบโต และเป็นเป้าหมายลำดับต้นๆ ในการเลือกลงทุนของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้บริโภคก็พร้อมที่จะสนับสนุนสินค้าและบริการของผู้ประกอบการที่มีธรรมาภิบาลธุรกิจ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและมีความมั่นคงยั่งยืนอย่างที่สุด” อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน มีนิติบุคคลที่ได้รับรางวัลธรรมาภิบาลธุรกิจดีเด่นจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จำนวน ทั้งสิ้น 557 ราย (กรุงเทพมหานคร 76 ราย ส่วนภูมิภาค 481 ราย) แบ่งเป็น ปี 2554 จำนวน 9 ราย (กรุงเทพมหานคร 3 ราย ส่วนภูมิภาค 6 ราย) ปี 2555 จำนวน 112 ราย (กรุงเทพมหานคร 3 ราย ส่วนภูมิภาค 109 ราย) ปี 2556 จำนวน 118 ราย (กรุงเทพมหานคร 2 ราย ส่วนภูมิภาค 116 ราย) ปี 2557 – 2558 จำนวน 101 ราย (กรุงเทพมหานคร 16 ราย ส่วนภูมิภาค 85 ราย) ปี 2559 จำนวน 122 ราย (กรุงเทพมหานคร 30 ราย ส่วนภูมิภาค 92 ราย) และ ปี 2560 จำนวน 95 ราย (กรุงเทพมหานคร 22 ราย ส่วนภูมิภาค 73 ราย)