หลักการใช้ชีวิต ที่จริงก็คล้าย ๆ กันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือการทำงาน ในยุคนี้มีแต่คนโดนล่อลวงไปทำธุรกิจที่รวยเร็ว รวยทางลัด เกษียณได้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ การออกกำลังกายก็เช่นกัน
ลดความอ้วนได้ใน 7 วัน มีซิกแพ็กได้ใน 1 คอร์ส วิ่งมาราธอนได้ใน 1 เดือน สุดท้ายใครหลงเชื่อก็ไม่พ้นเสียเงินแล้วยังต้องมานั่งช้ำใจ ดังนั้น ถ้าคุณมีทัศนคติแบบนี้ชีวิตแย่แน่นอน เพราะวัน ๆ จะหาแต่สูตรลัด วิธีกินแบบโน้น วิธีการออกกำลังกายแบบนี้ จนละเลยพื้นฐานและความสม่ำเสมอ บางคนอยากเป็นนักกีฬามีสถิติดี ๆ สนใจแค่ผลลัพธ์แต่ละเลยพื้นฐาน ก็เหมือนคนไม่เคยทำธุรกิจไม่เคยทำงานแต่ลงทุนเสียใหญ่โต สุดท้ายก็เจ็บ ก็พังสังเกตคนที่รวยจากการประสบความสำเร็จในการทำงาน ไม่เห็นมีใครอยากเกษียณนั่งอยู่บ้านเฉย ๆ สักคน แม้ว่าจะรวยล้นฟ้า เขาก็ยังสนุกกับการทำงาน ซึ่งน่าจะเป็นอีกเคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จ คนหุ่นดีก็เหมือนกัน ไม่เห็นจะมีใครคิดว่าหุ่นดีแล้วจะเลิกออกกำลังกาย แต่เขาชอบออกกำลังกายเลยหุ่นดีอย่างยั่งยืน วันไหนไม่ได้ออกกำลังกายจะมีอารมณ์หงุดหงิดอยากออกกำลังกายด้วยซ้ำ ตัดภาพมาดูอีกฝั่ง กว่าจะเข็นตัวเองไปออกกำลังกายไปทำงานได้ แถมเวลาทำก็ทำไปงั้น ๆ เงินเท่านี้จะทำเท่าไรเชียว เพราะเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้มีคนทำได้และทำไม่ได้ อันนี้น่านำไปคิด
สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ การเรียนรู้ กว่าจะทำธุรกิจได้ต้องเริ่มจากเด็กฝึกงาน ต้องไปเรียน ต้องไปเข้าคอร์ส เพราะความรู้เหมือนเป็นแผนที่ที่จะช่วยให้เราไม่หลงทาง การออกกำลังกายก็เหมือนกัน การหาความรู้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็มีความจำเป็นเช่นเดียวกัน ส่วนคนที่รวยจากมรดก รวยจากโชค ส่วนมากก็ไม่สามารถรักษาทรัพย์สินไว้ได้ เช่นเดียวกับคนที่ไปดูดไขมัน กินยาลดความอ้วน สุดท้ายก็รักษาหุ่นที่ดีไว้ไม่ได้
เริ่มต้นจากทัศนคติ
จากแนวคิดท่านพุทธทาสภิกขุ ที่บอกว่า ‘การทำงานคือการปฏิบัติธรรม’ เรามีความสุขสงบได้ในทุกขณะจิต ไม่ต้องเครียดกับงาน รู้สึกทรมานแล้วค่อยมาหาเวลาในการเข้าคอร์ส ธรรมะ ความคิดต่องานที่เราทำย่อมส่งผลต่อผลลัพธ์ คนไปออกกำลังกายก็เหมือนกัน บางคนออกกำลังกายด้วยแนวคิดทำโทษตัวเอง คิดว่าวันนี้กินเยอะเลยต้องมาเบิร์นชดใช้ (เหมือนไปสร้างหนี้ซื้อของที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วก็ต้องมานั่งทำงานหนัก) บางคนรู้สึกทรมานที่ต้องมาซ้อมตามตาราง ไม่ได้ชอบวิ่งไกลขนาดนั้น ไม่ได้เหมาะกับชีวิตของเรา เห็นเพื่อนไปกันก็เลยตาม ๆ เขาไป (เห็นคนเรียนสายวิทย์เป็นหมอเป็นวิศวะแล้วดีก็แห่ทำตามกัน แต่ตัวเองไม่ได้ชอบ) หลายคนตอนเริ่มคือออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ แต่เห็นเพื่อนโชว์สถิติก็ไปพยายามทำมาอวดบ้างจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว (เหมือนบอกอยากจะดูแลลูกให้ดี ถึงเวลาหาแต่เงิน เอามาจ่ายโรงเรียนแพง ๆ เพื่ออวดกันแต่ไม่มีเวลาให้ลูก)
ตอนนี้ถ้าคุณต้องเข็นตัวเองมาออกกำลังกาย อาจจะแสดงว่าคุณตั้งเป้าหมายผิด ยังไม่ได้ชอบการออกกำลังกายนั้นจริง ๆ ลองหาวิธีการออกกำลังกายใหม่ ๆ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือออกกำลังกายในแบบอื่น ๆ และถ้าออกกำลังกายแล้วคุณภาพชีวิตแย่ลง คงต้องมาจัดสมดุลชีวิตกันใหม่ ตั้งเป้าหมายการออกกำลังกายให้ชัด ถ้าอยากหุ่นดีสุขภาพแข็งแรงใช้เวลาวันละไม่กี่นาที แต่หลายคนซ้อมวันละหลายชั่วโมงหุ่นก็ไม่ดี สุขภาพก็เสีย ได้อาการบาดเจ็บเป็นของแถมอีกต่างหาก
ลองมาตั้งคำถามกับตนเองบ้าง บางครั้งการที่จะมีหุ่นดีสุขภาพแข็งแรง ชีวิตมีความสุข อาจจะง่ายกว่าที่คุณคิดก็ได้
**************************************
ขอขอบคุณที่มา : https://www.thaihealth.or.th