คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางการควบคุมโรคตับอักเสบจากไวรัส เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี และเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพิ่มหัวหน้าฝ่ายเทศกิจ กทม. เป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ พร้อมหารือการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 3 หลังมีผลการศึกษาช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอนได้ ก่อนเสนอที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคพิจารณา ย้ำทุกจังหวัดเดินหน้าฉีดวัคซีน-ใช้มาตรการ VUCA รับเทศกาลปีใหม่
วันที่24 ธันวาคม 2564 ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 12/2564 โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลาโหม มหาดไทย แรงงาน ศึกษาธิการ การต่างประเทศ การท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ UHOSNET โรงพยาบาลเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข ผู้แทนสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระ ร่วมการประชุม
นายอนุทินกล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบ 2 ประเด็นสำคัญ คือ
1) แนวทางการควบคุมโรคตับอักเสบจากไวรัส เนื่องจากประเทศไทยมีผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง 2.2 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี 7.5 แสนคน และส่วนใหญ่ผู้ป่วยมะเร็งตับมักพบในผู้ที่มีอายุระหว่าง 50 – 70 ปี หลังจากที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี เรื้อรัง ซึ่งแนวทางการควบคุมโรคตับอักเสบจากไวรัส จะช่วยลดช่องว่างและอุปสรรคในการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา และมีทิศทางการดำเนินงานที่นำไปสู่เป้าหมายการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ต่อไป
2) เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 (ฉบับ ..) พ.ศ. …. โดยพิจารณาแต่งตั้งหัวหน้าฝ่ายเทศกิจ สังกัดสำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ให้ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาดในพื้นที่
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อกระตุ้นในเข็มที่ 3 หลังจากมีผลการศึกษา และมีการรับรองจากบริษัทผู้ผลิตว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยกระตุ้นระดับแอนติบอดี
ต่อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน เช่นเดียวกับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์เดลตา ซึ่งจะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคพิจารณาต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการใช้วัคซีน โดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้ายืนยันว่าจะส่งวัคซีนได้ครบทั้ง 61 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ ส่วนวัคซีน อีก 60 ล้านโดส ที่ได้จัดหาไว้สำหรับในปี 2565 จะเป็นวัคซีนเจนเนอเรชั่นใหม่ รวมถึงมีการนำแนวทางการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 4 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ที่มีความเสี่ยง หรือผู้ที่มีความจำเป็น เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อที่ประชุม แสดงให้เห็นว่าไทยได้เตรียมการรับมือกับสถานการณ์โควิด 19 ในปี 2565 อย่างเต็มที่
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์โรคโควิด 19 แม้ว่าขณะนี้ไทยจะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้เสียชีวิต ลดลงกว่าที่คาดการณ์ แต่เรายังจับตาการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนอย่างใกล้ชิด ยกระดับการเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวัง ตรวจวินิจฉัยและรักษา เตียง เวชภัณฑ์ และยาต้านไวรัส เข้มมาตรการตรวจคัดกรองโรคในผู้เดินทางเข้าประเทศรูปแบบ Test & Go ที่ได้รับอนุญาตก่อนหน้านี้ รวมถึงคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่จะติดตามตรวจสอบทุกราย และให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาพิจารณาการจัดงานรื่นเริง และยึดทุกอย่างตามระเบียบ กฎหมาย มาตรการที่รัฐบาลกำหนด ประเมินอย่างเต็มที่ก่อนอนุมัติ รวมถึงมีการกำกับติดตามอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันได้ให้ทุกจังหวัดเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันให้สูงในระดับที่ต่อสู้กับสายพันธุ์โอมิครอนได้ และเคร่งครัดทุกพื้นที่ใช้มาตรการ VUCA เข้มงวดสวมหน้ากาก 100% เพื่อเตรียมพร้อมรับเทศกาลปีใหม่ และเน้นสถานที่จัดงานเป็นที่โล่ง ระบายอากาศได้ดี เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยจากโรคโควิด 19
*********************************** 24 ธันวาคม 2564