รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรกได้ 50 ล้านคนตามเป้าหมายแล้ว ขอประชาชนออกมารับวัคซีนให้ครบโดส เพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลปีใหม่ได้อย่างปลอดภัย พร้อมเตือนผู้รับจ้างทำใบรับรองฉีดวัคซีนปลอม มีความผิดทางอาญาถึงขั้นติดคุก ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ
วันที่ 14 ธันวาคม 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย ว่า ขณะนี้อัตราการฉีดวัคซีนทยอยเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้เข้ามารับวัคซีนจำนวนมากแล้ว ล่าสุด ข้อมูลที่รายงานผ่านระบบหมอพร้อม วันที่ 14 ธันวาคม 2564 จนถึงเวลา 12.30 น. สามารถฉีดได้ 140,461 โดส สะสม 97,893,176 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 50,012,231 ราย ซึ่งเกิน 50 ล้านคนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว ส่วนเข็มที่สอง 43,572,451 ราย เข็มที่สาม 4,266,735 ราย และเข็มที่สี่ 41,759 ราย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังเดินหน้าให้บริการวัคซีนโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม รวมถึงการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันตามช่วงเวลาที่กำหนด โดยร่นระยะเวลาให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบ 2 เข็ม ทั้งวัคซีนชนิดเดียวกันหรือสูตรไขว้ ได้ฉีดเข็มกระตุ้นหลังฉีดเข็มสองแล้ว 3 เดือน ดังนั้น ผู้ที่ฉีดครบ 2 เข็มในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน จะสามารถมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นได้ในเดือนธันวาคมนี้
“ขอให้ประชาชนออกมารับวัคซีนโควิดให้ครบโดส เนื่องจากช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ การจัดงานต่างๆ ศบค.กำหนดให้ผู้ประกอบการ พนักงาน และลูกค้าที่จะเข้าร่วมงาน ต้องฉีดวัคซีนโควิดครบ 2 เข็ม จึงจะสามารถเข้าร่วมงานได้อย่างปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีในโซเชียลมีเดียมีการโพสต์รับจ้างทำใบรับรองการฉีดวัคซีนปลอม ขอย้ำว่า นอกจากเป็นอันตรายต่อตนเองและคนรอบข้างแล้ว ยังเป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีความผิดทางอาญา อาจมีโทษจำคุกได้ จึงไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ใบรับรองการฉีดวัคซีนจริงจะมีคิวอาร์โคดที่ระบุชื่อคนฉีด วันที่ฉีด สถานที่ฉีด ผู้ให้บริการฉีด ยี่ห้อวัคซีนและหมายเลขประจำขวดวัคซีน จึงพิสูจน์ได้ว่าเป็นใบรับรองจริงหรือปลอม ดังนั้น ขอประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อผู้กระทำผิด และหากมีข้อมูลของผู้กระทำผิดในเรื่องนี้ ขอให้แจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป