นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ตามที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ในหลายประเทศ และประเทศไทยมีคำสั่งระงับการเดินทางเข้าของผู้ที่มาจากประเทศที่มีการระบาด กรุงเทพมหานครได้ติดตามและเฝ้าระวังโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนอย่างใกล้ชิด โดยสำนักนามัย กทม. ได้บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน รวมทั้งได้ปรับมาตรการการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรจากทวีปแอฟริกา โดยมีการเพิ่มจำนวนวันกักตัว วันคุมไว้สังเกตและการห้ามเข้าประเทศ และต้องตรวจ RT-PCR 3 ครั้ง วันที่ 0-1 , 5-6 , 12-13 นอกจากนี้ จะจัดเจ้าหน้าที่สำรวจตรวจสอบชุมชนที่มีชาวแอฟริกันอาศัยอยู่ หากมีผู้เดินทางเข้ามาใหม่จำเป็นต้องกักตัวตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด และจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในชุมชนร่วมกันสอดส่องดูแล ไม่ให้มีคนแปลกหน้าเข้ามาอาศัยโดยพลการ
ในส่วนของการเตรียมความพร้อมเรื่องระบบสาธารณสุขเพื่อรองรับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ สถานพยาบาล รวมไปถึงระบบที่จะควบคุมการระบาดให้อยู่ในวงจำกัดโดยเร็วไม่กระจายไปเป็นพื้นที่กว้าง รวมถึงการเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย ได้เตรียมความพร้อมยกระดับแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนในพื้นที่กรุงเทพ อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคล มาตรการทางสังคม อาทิ การสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง
ในส่วนของสำนักการแพทย์ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่คณะกรรมการโรคติดต่อ กรุงเทพมหานคร กำหนด และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการ Swab และให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งเข็ม 1 เข็ม 2 และเข็ม 3 อย่างเต็มกำลังและทั่วถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย
ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 ทั้งตัวเอง และครอบครัว กรุงเทพมหานครขอให้ประชาชนปฏิบัติตนตามแนวคิดเรื่องการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) 10 ข้อ ดังนี้
1. ออกจากบ้านเมื่อจําเป็นเท่านั้น
2. เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร ในทุกสถานที่
3. สวมหน้ากากอนามัยและทับด้วยหน้ากากผ้าตลอดเวลา ทั้งที่อยู่ในและนอกบ้านที่มีคนมากกว่า 2 คน
4. ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือแจลแอลกอฮอล์ทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ส้วม ไอจาม หรือสัมผัสวัตถุ/สิ่งของ ที่ใช้ร่วมกัน
5. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าที่สวมใส่อยู่ รวมทั้งใบหน้า ตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น
6. ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี และผู้มีโรคเรื้อรัง หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน เว้นแต่จําเป็น(น้อยครั้งและใช้เวลาสั้นที่สุด)
7. ทําความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่ถูกสัมผัสบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้หรือสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพ
8. แยกของใช้ส่วนตัวทุกชนิด ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่น
9. เลือกทานอาหารที่ร้อนหรือปรุงสุกใหม่ ควรทานอาหารแยกสํารับ หากทานร่วมกันให้ใช้ช้อนกลางส่วนตัว
10. หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง เช่น สัมผัสผู้ที่อาจติดเชื้อ หรือมีอาการ ควรได้รับการตรวจด้วย ATK บ่อย ๆ เพื่อยืนยันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ หรือไปรับการตรวจรักษาที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ในส่วนของผู้ประกอบการ แนะนำให้ดำเนินการตามมาตรการ COVID-Free Setting ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ
1. Covid Free Environment ด้านสิ่งแวดล้อมปลอดโควิด องค์กรต่างๆ มีระบบระบายอากาศ สุขอนามัย สะอาดปลอดภัย เว้นระยะห่าง ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมทุก 1-2 ชั่วโมง
2. Covid Free Personnel ด้านผู้ประกอบการ/พนักงานปลอดโควิด ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ คัดกรองความเสี่ยงพนักงานทุกวันด้วยระบบไทยเซฟไทย และตรวจ ATK ทุกสัปดาห์
3. Covid Free Customer ด้านผู้ใช้บริการ/ลูกค้าปลอดโควิด ให้คัดกรองความเสี่ยงก่อนเข้าร้านด้วยแพลตฟอร์ม “ไทยเซฟไทย” หรือแอปพลิเคชันอื่นที่ทางราชการกำหนด และแสดง green card สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือแสดง yellow card สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อ หรือมีผล ATK เป็นลบภายใน 7 วัน
———————